by Anga Team | 25 Feb 2025 | General
การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จทางธุรกิจ โดยเฉพาะในยุคที่การแข่งขันทางการตลาดสูงเช่นนี้ Customer Engagement คือกลยุทธ์ที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน ผ่านการสร้างความผูกพันที่แน่นแฟ้นกับลูกค้า แต่การสร้างสัมพันธ์กับลูกค้าจะมีวิธีอย่างไร deeSMSX จะมาอธิบายให้เอง
Customer Engagement คืออะไร
Customer Engagement คือ กระบวนการสร้างความสัมพันธ์ และการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ผ่านการสื่อสารและกิจกรรมต่าง ๆ ในทุกรูปแบบ เพื่อช่วยให้แบรนด์เกิดการจดจำ และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าในระยะยาว
Customer Engagement และ Customer Service ต่างกันอย่างไร
ในขณะที่ Customer Service เน้นการแก้ปัญหา และตอบสนองความต้องการของลูกค้าในแต่ละครั้ง แต่ Customer Engagement คือการสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่านั้น โดย Customer Engagement คือการทำให้ลูกค้ารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ ผ่านการสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจตลอดระยะเวลาที่ใช้บริการ
ผลกระทบต่อความสำเร็จของธุรกิจ
Customer Engagement คือปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อความสำเร็จของธุรกิจ เพราะลูกค้าที่มีความผูกพันกับแบรนด์มักจะซื้อสินค้าและบริการมากขึ้น แนะนำต่อให้คนอื่น และมีความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการตลาดลดลงและรายได้เพิ่มขึ้น
ทำไมต้องให้ความสำคัญกับ Customer Engagement
การสร้าง Customer Engagement คือสิ่งที่ธุรกิจไม่อาจมองข้ามในปัจจุบัน เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ลูกค้าต้องการมากกว่าแค่สินค้าและบริการที่ดี แต่ยังต้องการประสบการณ์และความสัมพันธ์ที่พิเศษกับแบรนด์
การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัล
เพราะผู้บริโภคยุคดิจิทัลมีความคาดหวังสูงขึ้น ต้องการการตอบสนองที่รวดเร็ว และประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัว Customer Engagement คือกลยุทธ์ที่ช่วยตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้ได้ ผ่านการใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในตลาดออนไลน์
ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง Customer Engagement คือจุดแข็งที่ช่วยให้แบรนด์โดดเด่นและแตกต่าง การสร้างความผูกพันที่แท้จริงกับลูกค้าจะช่วยให้ธุรกิจมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง และรักษาส่วนแบ่งตลาดได้อย่างยั่งยืน และไม่ถูกกลืนไปกับตลาดจนถูกลืม
องค์ประกอบสำคัญของการสร้าง Customer Engagement
การสร้าง Customer Engagement คือการผสมผสานหลายองค์ประกอบเข้าด้วยกัน ทั้งการสื่อสาร การบริการ และการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า โดยต้องทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ซึ่งองค์ประกอบที่สำคัญ จะมีดังนี้
การสร้างประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคล
การใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเพื่อสร้างประสบการณ์ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับลูกค้าแต่ละคน หรือที่เรียกว่า Personalized Marketing ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีหนึ่งที่ใช้สร้าง Customer Engagement ได้ดี เพราะลูกค้าจะรู้สึกพิเศษกว่า
การสร้างคุณค่าและความประทับใจ
การมอบคุณค่าที่มากกว่าแค่สินค้าและบริการ แต่รวมถึงการให้ข้อมูล ความรู้ และประสบการณ์ที่มีความหมาย ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ดี และยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ดูมีมูลค่ามากขึ้นด้วย
เครื่องมือในการทำ Customer Engagement
การสร้าง Customer Engagement คือกระบวนการที่ต้องใช้เครื่องมือและช่องทางที่หลากหลาย เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย : เป็นช่องทางหลักในการสร้างการมีส่วนร่วม และการสื่อสารกับลูกค้า ทั้งการโพสต์คอนเทนต์ที่น่าสนใจ การจัดกิจกรรม การตอบคอมเมนต์ และการสร้างคอมมูนิตี้ออนไลน์ ซึ่งช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงกับกลุ่มเป้าหมาย และมีปฏิสัมพันธ์ได้ง่ายขึ้น
โปรแกรมสมาชิกและระบบสะสมคะแนน : สร้างแรงจูงใจให้ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์อย่างต่อเนื่อง ผ่านการให้รางวัล ส่วนลด และสิทธิพิเศษต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า พร้อมระบบติดตามพฤติกรรมการใช้งานเพื่อนำมาพัฒนาบริการ
แอปพลิเคชันมือถือ : พัฒนาแอปพลิเคชันที่ใช้งานง่าย รวมทุกบริการไว้ในที่เดียว ทั้งการซื้อสินค้า ตรวจสอบคะแนนสะสม รับโปรโมชัน และติดต่อฝ่ายบริการลูกค้า พร้อมฟีเจอร์แจ้งเตือนข่าวสารและสิทธิพิเศษที่น่าสนใจ
ระบบ CRM : จัดการข้อมูลลูกค้าแบบครบวงจร วิเคราะห์พฤติกรรมและความต้องการเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่เหมาะสม ติดตามประวัติการซื้อและการใช้บริการ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวและตรงใจลูกค้า
ระบบตอบรับอัตโนมัติ : ให้บริการลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยระบบ AI Chatbot ที่สามารถตอบคำถามพื้นฐาน แก้ไขปัญหาเบื้องต้น และส่งต่อให้เจ้าหน้าที่เมื่อจำเป็น ช่วยลดระยะเวลารอคอยและเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า
ตัวอย่างแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จด้าน Customer Engagement
หลายแบรนด์ชั้นนำได้พิสูจน์ให้เห็นว่า Customer Engagement คือกุญแจสู่ความสำเร็จทางธุรกิจ ผ่านกลยุทธ์ที่สร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ
Line Shopping : สร้างการมีส่วนร่วมผ่านระบบสะสมคอยน์ที่สามารถใช้แลกส่วนลดได้ และมีการจัดแคมเปญพิเศษร่วมกับร้านค้าชั้นนำอย่างต่อเนื่อง
Shopee : ใช้กลยุทธ์เกมมิฟิเคชันผ่านมินิเกมและกิจกรรมสะสมเหรียญ สร้างความสนุกและดึงดูดให้ผู้ใช้กลับมาใช้แอปพลิเคชันทุกวัน
Lazada : จัดกิจกรรมไลฟ์สตรีมมิงที่ให้ผู้ขายได้พูดคุยกับลูกค้าแบบเรียลไทม์ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษเฉพาะช่วงไลฟ์
เพราะการสร้าง Customer Engagement คือกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล และหนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพคือการทำ SMS Marketing ผ่านบริการจาก deeSMSX ที่ช่วยให้คุณส่งข้อความถึงลูกค้าได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย สร้างการรับรู้ และกระตุ้นยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยระบบที่ใช้งานง่าย ราคาถูกที่สุดในไทย เริ่มต้นที่ 0.15 บาท / ข้อความ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 02-095-5168 Line @deecom หรือ เฟซบุ๊ก deeSMSX
by Anga Team | 25 Feb 2025 | General
การทำธุรกิจในปัจจุบันต้องเผชิญกับความท้าทายในการเข้าถึงลูกค้าอย่างมาก เพราะกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มมักมีความต้องการที่แตกต่างกันไป Personalized Marketing คืออีกหนึ่งรูปแบบการทำการตลาดที่ตอบโจทย์ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี แต่วิธีที่ว่านี้จะเป็นอย่างไร deeSMSX จะมาอธิบายแบบง่าย ๆ ให้เข้าใจกัน
Personalized Marketing คืออะไร
Personalized Marketing คือ กลยุทธ์การตลาดที่ใช้เทคโนโลยี และข้อมูลเชิงลึกในการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า เพื่อนำเสนอสินค้า บริการ และประสบการณ์ที่เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะบุคคล เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อหรือมีส่วนร่วมให้มากที่สุด
ทำไมต้องทำ Personalized Marketing
ในโลกดิจิทัลที่มีการแข่งขันสูง การสร้างความแตกต่าง และความประทับใจให้กับลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด Personalized Marketing ช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด เราลองมาดูสาเหตุกันว่าทำไมต้องใช้วิธีนี้เพื่อเจาะตลาด
แนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
เพราะผู้บริโภคในปัจจุบันต้องการประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น พวกเขาคาดหวังว่าแบรนด์จะเข้าใจความต้องการและนำเสนอสิ่งที่ตรงใจ การทำ Personalized Marketing คือวิธีที่จะช่วยให้ธุรกิจตอบสนองความคาดหวังนี้ได้ จากการศึกษาพบว่า 80% ของผู้บริโภคมีแนวโน้มซื้อสินค้าจากแบรนด์ที่มอบประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคล
การแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดออนไลน์
ด้วยจำนวนคู่แข่งที่เพิ่มขึ้นในตลาดออนไลน์ การสร้างความแตกต่างจึงเป็นสิ่งจำเป็น Personalized Marketing คือกลยุทธ์ที่ช่วยให้ธุรกิจโดดเด่น และรักษาฐานลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แบรนด์ที่สามารถเข้าใจ และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีกว่าย่อมได้เปรียบในการแข่งขัน
องค์ประกอบสำคัญของการทำ Personalized Marketing
การทำการตลาดแบบเฉพาะบุคคลให้ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องมีองค์ประกอบสำคัญที่ครบถ้วน เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ตรงใจลูกค้าอย่างแท้จริง เรามาดูกันว่าหลัก ๆ มีอะไรบ้าง
การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า
การทำ Personalized Marketing คือการใช้ข้อมูลให้เกิดประโยชน์สูงสุด ธุรกิจจึงต้องเก็บข้อมูลทั้งเชิงประชากรศาสตร์ พฤติกรรมการซื้อ และการมีส่วนร่วมกับแบรนด์ การวิเคราะห์ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้เข้าใจความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
การสร้างคอนเทนต์ที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย
เมื่อเข้าใจลูกค้าแล้ว การสร้างคอนเทนต์ที่เหมาะสมเป็นขั้นตอนสำคัญ Personalized Marketing คือการนำเสนอเนื้อหาที่สอดคล้องกับความสนใจ และความต้องการของแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะเป็นอีเมล โฆษณา หรือข้อเสนอพิเศษแบบเจาะจง เพื่อกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วม และเกิดการซื้อสินค้าหรือบริการในท้ายที่สุด
เครื่องมือในการทำ Personalized Marketing
การทำการตลาดแบบเฉพาะบุคคลต้องอาศัยเครื่องมือที่หลากหลาย ได้แก่
ระบบ CRM : เครื่องมือหลักในการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า ช่วยเก็บข้อมูลประวัติการซื้อ การติดต่อ และพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละราย พร้อมทั้งวิเคราะห์และคาดการณ์ความต้องการในอนาคต เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการได้อย่างเหมาะสม
แพลตฟอร์มการวิเคราะห์ข้อมูล : ระบบที่ช่วยประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่จากหลากหลายแหล่ง ทั้งพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ การตอบสนองต่อแคมเปญ และการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างภาพรวมของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างแม่นยำ
ระบบการส่งอีเมลและ SMS แบบเฉพาะบุคคล : แพลตฟอร์มที่ช่วยในการออกแบบและส่งข้อความที่ปรับแต่งให้เหมาะกับผู้รับแต่ละคน สามารถกำหนดเวลาส่ง แยกกลุ่มผู้รับ และติดตามผลการตอบสนองได้ ทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ระบบโฆษณาที่ปรับเปลี่ยนตามผู้ชม : เครื่องมือที่ช่วยแสดงโฆษณาที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละคน เช่น ลูกค้าที่เคยดูรองเท้าวิ่งจะเห็นโฆษณารองเท้าวิ่งรุ่นใหม่ ในขณะที่คนที่สนใจกระเป๋าจะเห็นโฆษณากระเป๋าคอลเลคชั่นล่าสุด ระบบจะปรับเปลี่ยนทั้งรูปภาพ ข้อความ และข้อเสนอให้เหมาะกับความสนใจของแต่ละคนโดยอัตโนมัติ
ตัวอย่างการทำ Personalized Marketing ที่ประสบความสำเร็จ
ในปัจจุบัน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเราล้วนเกี่ยวข้องกับการทำ Personalized Marketing ทั้งนั้น แต่เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดที่สุด นี่คือตัวอย่างธุรกิจที่ใช้วิธีนี้ได้อย่างเห็นผล
Netflix : ใช้ระบบแนะนำคอนเทนต์ที่ปรับเปลี่ยนตามพฤติกรรมการรับชมของผู้ใช้ เพื่อทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่ามีคอนเทนต์ในแนวที่ชอบอยู่อีกเพียบ และไม่กดยกเลิกสมาชิกเพราะยังมีคอนเทนต์ที่ยังต้องการดูต่อเรื่อย ๆ
Spotify : สร้างเพลย์ลิสต์เฉพาะบุคคลและ แนะนำเพลงตามรสนิยมของผู้ฟัง ซึ่งตอบโจทย์สำหรับคนรักการฟังเพลงที่ได้ค้นพบเพลงใหม่ ๆ ในแนวที่ใกล้เคียงเดิม จึงเป็นการเปิดประสบการณ์การรับฟังที่ดีให้ผู้ใช้งานได้เรื่อย ๆ
Amazon : นำเสนอสินค้าที่เกี่ยวข้องกับประวัติการซื้อ หรือการค้นหาที่ผ่านมา เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น หรืออย่างน้อยก็กระตุ้นให้เกิดความอยากซื้ออยู่เรื่อย ๆ ซึ่งช่วยกระตุ้นยอดขายได้เป็นอย่างดี
จะเห็นได้ว่า Personalized Marketing คือกลยุทธ์ที่จะทวีความสำคัญมากขึ้นในอนาคต เพราะธุรกิจที่สามารถปรับตัว และเจาะกลุ่มลูกค้าได้ตรงใจมากที่สุด จะเป็นเพียงผู้เหลือรอดเท่านั้นในยุคที่แข่งขันกันสูง และหนึ่งในวิธีที่ง่าย และเห็นผลลัพธ์ได้ดีก็คือการทำ SMS Marketing ที่สามารถนำเสนอโปรโมชัน และข่าวสารต่าง ๆ ได้ทุกเวลาในต้นทุนที่ไม่แพง ซึ่งทาง deeSMSX ก็มีบริการส่ง SMS คุณภาพสูง รองรับการส่งได้เป็นจำนวนมาก โดยมีค่าบริการเริ่มต้นที่ 0.15 บาท / ข้อความ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 02-095-5168 Line @deecom หรือ เฟซบุ๊ก deeSMSX
by Anga Team | 18 Feb 2025 | General
การวัดความคุ้มค่าในการลงทุนหรือที่หลายคนรู้จักกันว่า ROI คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ เพราะนอกจากจะทำให้ทราบถึงประสิทธิภาพในการบริหารเงินลงทุนแล้ว ยังช่วยในการตัดสินใจวางแผนธุรกิจในอนาคตได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
ROI คืออะไร ทำไมถึงสำคัญในโลกธุรกิจ
ในแวดวงธุรกิจ ROI คืออัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่ใช้วัดประสิทธิภาพในการสร้างกำไรจากเงินที่ลงทุนไป หลายคนอาจสงสัยว่า ROI คือตัวชี้วัดที่สำคัญแค่ไหน ความจริงแล้ว ROI คือเครื่องมือที่จะบอกได้ว่าการลงทุนนั้นคุ้มค่าหรือไม่ และควรปรับปรุงกลยุทธ์อย่างไรเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น
ทำไมธุรกิจต้องคำนวณ Marketing ROI
สำหรับนักการตลาด ROI คือ ตัวชี้วัดที่ช่วยประเมินประสิทธิภาพของกิจกรรมทางการตลาดและการลงทุนต่างๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรม ในมุมมองของผู้บริหาร ROI คือเครื่องมือที่มีประโยชน์หลัก ๆ ดังนี้
ช่วยในการตัดสินใจเลือกช่องทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะ ROI คือตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนในการเปรียบเทียบผลตอบแทนจากแต่ละช่องทาง
ทำให้เข้าใจพฤติกรรมและการตอบสนองของลูกค้าต่อแคมเปญต่าง ๆ เนื่องจาก ROI คือตัวสะท้อนผลลัพธ์ที่แท้จริงของการทำการตลาด
ช่วยในการบริหารงบประมาณการตลาดให้มีประสิทธิภาพ เพราะ ROI คือมาตรวัดที่ช่วยลดการสูญเสียเงินลงทุนในช่องทางที่ไม่ก่อให้เกิดผลตอบแทนที่คุ้มค่า
สามารถใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนธุรกิจ เพราะ ROI คือข้อมูลที่อ้างอิงจากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง
วิธีคำนวณ Marketing ROI พร้อมตัวอย่าง
เมื่อเข้าใจแล้วว่า ROI คืออะไร มาดูวิธีการคำนวณโดยใช้สูตรกัน : ROI = ((รายได้ – ต้นทุน) / ต้นทุน) x 100
ตัวอย่าง : บริษัทลงทุนทำแคมเปญการตลาดมูลค่า 100,000 บาท และสามารถสร้างรายได้ 250,000 บาท
ROI = ((250,000 – 100,000) / 100,000) x 100
= (150,000 / 100,000) x 100
= 150%
การวิเคราะห์ค่า ROI ที่ได้สามารถบ่งบอกถึงความคุ้มค่าในการลงทุน ดังนี้
ROI มากกว่า 0% หรือ 100% แสดงว่าการลงทุนมีกำไร โดยยิ่งค่า ROI สูงมากเท่าไร ยิ่งสะท้อนถึงผลตอบแทนที่สูงตามไปด้วย
ROI เท่ากับ 0% หมายถึงการลงทุนที่เท่าทุน คือไม่มีกำไรและไม่ขาดทุน
ROI ต่ำกว่า 0% หรือ 100% บ่งชี้ว่าการลงทุนขาดทุน ซึ่งยิ่งค่าติดลบมากเท่าไร ยิ่งแสดงถึงการขาดทุนที่รุนแรง
อย่างไรก็ตาม การตั้งเป้าหมาย ROI ควรพิจารณาให้สูงกว่า 300% เนื่องจากในความเป็นจริงยังมีต้นทุนแฝงอีกมากมายที่ต้องคำนึงถึง เช่น ค่าแรงพนักงาน ค่าสาธารณูปโภค ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายดำเนินงานอื่นๆ ดังนั้น การมี ROI ที่สูงจะช่วยให้ธุรกิจมีกำไรที่เพียงพอต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน แม้จะต้องหักลบต้นทุนแฝงเหล่านี้แล้วก็ตาม
5 เทคนิคการเพิ่ม ROI ให้ตรงตามเป้าหมาย
การเพิ่ม ROI เป็นเป้าหมายสำคัญของทุกธุรกิจ มาดูวิธีการที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ
ต้องเริ่มจากการวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน และกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจน เช่น ยอดขายที่ต้องการเพิ่มขึ้น จำนวนลูกค้าใหม่ หรืออัตราการซื้อซ้ำ พร้อมทั้งระบุระยะเวลาที่ต้องการบรรลุเป้าหมาย เพื่อให้สามารถวางแผนกลยุทธ์และจัดสรรทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม
2. เลือกช่องทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ
วิเคราะห์พฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย และเลือกใช้ช่องทางที่เหมาะสม โดยพิจารณาจากข้อมูลการตอบสนองในแต่ละช่องทาง ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อให้การลงทุนในแต่ละช่องทางสร้างผลตอบแทนสูงสุด
3. ปรับกลยุทธ์การตลาดให้ยืดหยุ่น
การวางแผนการตลาดที่ยืดหยุ่นช่วยให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างรวดเร็ว ควรมีการติดตามผล และเตรียมแผนสำรองไว้เสมอ เพื่อปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
4. ปรับแต่งและทดสอบโฆษณาอย่างต่อเนื่อง
ทำการทดสอบรูปแบบโฆษณา ข้อความ และภาพที่ใช้อย่างสม่ำเสมอ วิเคราะห์ผลตอบรับจากกลุ่มเป้าหมาย และปรับปรุงให้ตรงกับความต้องการมากขึ้น การทดสอบอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้เข้าใจว่าอะไรที่ได้ผลดีที่สุดสำหรับธุรกิจ
5. ติดตามและประเมินผลอย่างสม่ำเสมอ
ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อติดตามผลการดำเนินงานในทุกมิติ ทั้งยอดขาย อัตราการคลิก และพฤติกรรมผู้บริโภค นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และปรับปรุงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การลงทุนมีประสิทธิภาพสูงสุดการวัดและติดตาม ROI อย่างถูกต้องเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จทางธุรกิจ ยิ่งในยุคที่การแข่งขันสูงเช่นนี้ การเข้าใจและใช้ประโยชน์จาก ROI คือโอกาสที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน หากคุณต้องการเครื่องมือที่ช่วยวัดผลและติดตาม ROI อย่างมีประสิทธิภาพ บริการส่ง SMS จาก deeSMSX พร้อมช่วยให้การทำการตลาดของคุณมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ด้วยระบบที่เสถียร รองรับการส่งข้อความจำนวนมาก ในราคาเริ่มต้นเพียง 0.15 บาท/ข้อความ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 02-095-5168 Line @deecom หรือ เฟซบุ๊ก deeSMSX
by Anga Team | 18 Feb 2025 | General
การสร้างความประทับใจให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำถือเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จทางธุรกิจ เพราะไม่เพียงช่วยเพิ่มยอดขายอย่างต่อเนื่อง แต่ยังลดต้นทุนการหาลูกค้าใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ Customer Loyalty คือกลยุทธ์สำคัญที่ธุรกิจต้องให้ความสำคัญ วันนี้ deeSMSX เราจะพามาเจาะลึกเรื่องนี้ในทุกมุมมองกัน
Customer Loyalty คืออะไร
Customer Loyalty คือ ความจงรักภักดีที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ อันเกิดจากความประทับใจในสินค้าและบริการที่ได้รับ จนเกิดเป็นความเชื่อมั่นและไว้วางใจ ส่งผลให้เกิดการซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการแนะนำบอกต่อให้ผู้อื่นมาใช้บริการ กลายเป็นพลังสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
ทำไม Customer Loyalty ถึงสำคัญกว่าที่คิด
การมี Customer Loyalty ที่แข็งแกร่งส่งผลดีต่อธุรกิจในหลายด้าน ทั้งการเพิ่มยอดขายระยะยาว เพราะลูกค้าที่มีความภักดีมีโอกาสกลับมาซื้อซ้ำสูงกว่าลูกค้าทั่วไป โดยงานวิจัยพบว่าลูกค้าที่มีความภักดีเพียง 5% สามารถสร้างยอดขายและกำไรได้มากกว่า 25-95% นอกจากนี้ยังช่วยประหยัดต้นทุนการตลาด เพราะลูกค้ากลุ่มนี้มักแนะนำบอกต่อ สร้างการเติบโตแบบออร์แกนิกให้กับธุรกิจ
ทำความเข้าใจประเภทของ Customer Loyalty
ความภักดีของลูกค้าแต่ละคนมีความแตกต่างกัน การทำความเข้าใจรูปแบบความภักดีจะช่วยให้ธุรกิจวางกลยุทธ์การตลาดได้อย่างเหมาะสม
Hard-Core Brand Loyalty (ความภักดีต่อแบรนด์เดียว)
ลูกค้ากลุ่มนี้มีความภักดีสูงสุด เลือกใช้เฉพาะแบรนด์ที่ชื่นชอบเท่านั้น แม้คู่แข่งจะมีราคาถูกกว่าหรือโปรโมชันที่ดีกว่า เช่น ลูกค้า Apple ที่ยังคงเลือกซื้อ iPhone รุ่นใหม่แม้ราคาจะสูงกว่าสมาร์ตโฟนแบรนด์อื่น
Split Loyal Customers (ความภักดีหลายแบรนด์)
ลูกค้ามีแบรนด์โปรดในใจ 2-3 แบรนด์ โดยมักเลือกแบรนด์ที่ชอบที่สุดเป็นอันดับแรก แต่พร้อมเปลี่ยนไปใช้แบรนด์อื่นที่อยู่ในใจหากจำเป็น ความภักดีอาจเกิดจากความประทับใจในด้านต่างๆ เช่น บริการ การจัดส่ง
Shifting Loyal Customers (ลูกค้าที่พร้อมเปลี่ยนใจ)
เริ่มจากการมีความภักดีต่อแบรนด์หนึ่ง แต่เมื่อได้ลองใช้อีกแบรนด์แล้วเกิดความประทับใจ ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนความภักดีไปยังแบรนด์ใหม่
Switching Customers (ลูกค้าที่ไม่ยึดติดกับแบรนด์ใด)
ลูกค้ากลุ่มนี้ชอบทดลองสิ่งใหม่ๆ ไม่ยึดติดกับแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง มักตัดสินใจซื้อตามกระแสหรือคำรีวิว
Need-Based Loyal Customers (ลูกค้าที่ภักดีตามความต้องการ)
ไม่มีแบรนด์ที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ ตัดสินใจซื้อจากปัจจัยต่างๆ เช่น คุณภาพ ราคา โปรโมชัน และพร้อมเปลี่ยนแบรนด์ได้ตลอด
หากต้องการมี Customer Loyalty จะมีวิธีสร้างอย่างไร
การสร้างความภักดีต่อแบรนด์ต้องอาศัยการวางแผนและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลายเพื่อสร้างความประทับใจและรักษาฐานลูกค้าในระยะยาว
1. ให้ประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมาย
สร้างความประทับใจที่แตกต่างจากคู่แข่งในทุก ๆ เรื่อง โดยไม่ใช่เพียงการบริการที่ดีเยี่ยมเท่านั้น แต่อาจเป็นการทำในสิ่งที่ลูกค้าไม่ได้คาดหวังเช่น การมอบสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกในเดือนเกิด หรือการส่งของขวัญจากแบรนด์เล็ก ๆ น้อย ๆ ในโอกาสสำคัญในรอบปี
2. ใช้โปรแกรมสะสมแต้มและรางวัล
สร้างระบบสมาชิกที่มอบสิทธิประโยชน์พิเศษ เช่น การสะสมแต้ม ส่วนลด หรือสิทธิพิเศษต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นการซื้อซ้ำ และสร้างความรู้สึกคุ้มค่ากับแบรนด์ แต่ก็ต้องมีการกำหนดระยะเวลาเช่นกัน เพื่อให้แบรนด์ไม่ถูกลืมจากลูกค้า
3. ทำการตลาดแบบ Personalized
วิเคราะห์และนำเสนอสินค้าที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย โดยใช้ข้อมูลพฤติกรรม และความชอบของลูกค้ามาสร้างการตลาดที่ตรงใจ นำเสนอสินค้าและบริการที่เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะบุคคล
4. การตอบแทนลูกค้าผ่านการบริการที่น่าประทับใจ
พัฒนาคุณภาพการบริการในทุกจุดเพื่อสร้างความประทับใจที่ยาวนาน โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพการบริการในทุกขั้นตอน ฝึกอบรมพนักงานให้มีทักษะการบริการที่เป็นเลิศ และใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้ลงทุนเยอะ แต่สร้างผลลัพธ์ที่ดีให้กับภาพลักษณ์แบรนด์ได้มหาศาล
5. จัดกิจกรรมพิเศษและโปรโมชันสำหรับลูกค้าประจำ
มอบสิทธิพิเศษที่แตกต่างจากลูกค้าทั่วไปเพื่อตอกย้ำความสำคัญ สร้างกิจกรรมและโปรโมชันเฉพาะสำหรับลูกค้าประจำ เพื่อให้พวกเขารู้สึกพิเศษ และได้รับสิทธิประโยชน์มากกว่าลูกค้าทั่วไป เช่นส่วนลดสำหรับสมาชิก หรือ โอกาสในการซื้อสินค้าที่เป็น Limited Edition ก่อนใคร
6. สร้างความสัมพันธ์ผ่านการสื่อสารที่มีคุณค่า
ข่าวสาร และโปรโมชัน เป็นอีกวิธีที่ทำให้ลูกค้าไม่ลืมแบรนด์ แม้ว่าในช่วงนั้นอาจจะไม่มีความต้องการที่จะซื้อก็ตาม แต่การแจ้งข่าวสารถึงสินค้าใหม่ ๆ หรือส่วนลดโปรโมชันในระยะเวลาที่จำกัด ก็จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้าเป็นประจำได้เช่นกัน จะเห็นได้ว่าการสร้าง Customer Loyalty คือสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับทุกธุรกิจ เพราะเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยสร้างแบรนด์เพื่อให้เกิดการจดจำ แม้จะไม่ใช่ทางตรงก็ตาม และหนึ่งในช่องทางที่สะดวก รวดเร็ว และไม่ต้องลงทุนเยอะ ก็คือการแจ้งข่าวสาร และโปรโมชันด้วยการส่งข้อความ SMS ซึ่งทาง deeSMSX เป็นผู้ให้บริการ SMS Marketing คุณภาพสูง รองรับการส่งได้เป็นจำนวนมาก โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 0.15 บาท / ข้อความ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 02-095-5168 Line @deecom หรือ เฟซบุ๊ก deeSMSX
by Anga Team | 18 Feb 2025 | General
ความสำเร็จของธุรกิจวัดได้จากยอดขายและกำไรที่เติบโต การเพิ่มยอดขายจึงเป็นเป้าหมายสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสนใจ ด้วยการใช้กลยุทธ์และเทคนิคที่เหมาะสม พร้อมปรับใช้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์และพฤติกรรมผู้บริโภค วันนี้ deeSMSX เรามีเทคนิคดี ๆ ในการเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจคุณมาฝากกัน
ทำไมธุรกิจต้องรู้จักใช้เทคนิคเพิ่มยอดขาย
การแข่งขันทางธุรกิจที่สูงขึ้นทำให้การมีสินค้าและบริการที่ดีอย่างเดียวไม่เพียงพอ ธุรกิจจำเป็นต้องมีกลยุทธ์การเพิ่มยอดขายที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและรักษาฐานลูกค้า มาดูประโยชน์สำคัญของการใช้เทคนิคเพิ่มยอดขาย
เพิ่มรายได้และกำไรอย่างยั่งยืน : เทคนิคการขายที่ดีช่วยสร้างยอดขายแบบต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่การกระตุ้นยอดขายระยะสั้น แต่ยังช่วยสร้างฐานลูกค้าที่มั่นคงในระยะยาว
สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน : การใช้เทคนิคที่หลากหลายช่วยให้ธุรกิจมีจุดเด่นเหนือคู่แข่ง ทั้งด้านการบริการ การนำเสนอสินค้า และการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า
เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุน : เทคนิคการขายที่เหมาะสมช่วยลดต้นทุนการตลาดที่ไม่จำเป็น และเพิ่มอัตราการปิดการขายให้สูงขึ้น
รักษาและขยายฐานลูกค้า : การใช้เทคนิคที่เน้นการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าช่วยรักษาลูกค้าเก่า และดึงดูดลูกค้าใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
12 เทคนิคเพิ่มยอดขายให้กำไรทะลุเป้าในทุกธุรกิจ
เทคนิคการเพิ่มยอดขายที่มีประสิทธิภาพต้องครอบคลุมทั้งการดึงดูดลูกค้าใหม่ การรักษาลูกค้าเก่า และการสร้างมูลค่าเพิ่มในทุกการซื้อขาย เรามาดูเทคนิคที่นำไปใช้ได้จริงและเห็นผลชัดเจนกัน
1. ใช้เทคนิค Cross-Selling และ Upselling
เพิ่มมูลค่าการซื้อด้วยการแนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้องหรือรุ่นที่สูงกว่า เช่น เมื่อลูกค้าซื้อโทรศัพท์ แนะนำอุปกรณ์เสริมที่จำเป็น หรือนำเสนอรุ่นที่มีคุณสมบัติดีกว่าในราคาที่ต่างกันไม่มาก การทำเช่นนี้ช่วยเพิ่มยอดขายต่อบิลและสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าที่ได้สินค้าครบตามต้องการ
2. ทำโปรโมชันส่วนลดที่จำกัดเวลา
สร้างความเร่งด่วนในการตัดสินใจซื้อด้วยโปรโมชันที่มีกำหนดเวลาชัดเจน เช่น ส่วนลด Flash Sale 24 ชั่วโมง หรือโปรโมชันเฉพาะช่วงสุดสัปดาห์ พร้อมแจ้งเตือนเวลาที่เหลือเป็นระยะ เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจเร็วขึ้นและลดโอกาสที่จะเปลี่ยนใจ
3. การใช้การตลาดแบบ Referral (แนะนำเพื่อน)
สร้างระบบชวนเพื่อนที่ให้ผลตอบแทนทั้งผู้แนะนำและผู้ถูกแนะนำ เช่น ส่วนลดพิเศษ เครดิตแทนเงินสด หรือของสมนาคุณมูลค่าสูง ทำให้ลูกค้าเดิมอยากแชร์ประสบการณ์ดีๆ และช่วยขยายฐานลูกค้าใหม่แบบบอกต่อ ซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่าการทำโฆษณา
4. สร้างความสัมพันธ์ผ่าน Email Marketing
ใช้อีเมลเป็นช่องทางสื่อสารกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ด้วยการส่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เช่น บทความให้ความรู้ โปรโมชันพิเศษเฉพาะสมาชิก และข่าวสารที่น่าสนใจ พร้อมปรับเนื้อหาให้เหมาะกับพฤติกรรมการซื้อของแต่ละกลุ่ม
5. ใช้การตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย (Social Media Marketing)
สร้างการมีส่วนร่วมและความสัมพันธ์กับลูกค้าผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย ทั้ง Facebook, Instagram และ TikTok โดยนำเสนอคอนเทนต์ที่มีคุณค่า จัดกิจกรรมสนุก ๆ และใช้โฆษณาแบบแม่นยำเพื่อเข้าถึงกลุ่มที่มีโอกาสซื้อสูง
6. ปรับปรุงประสบการณ์การช็อปปิ้งออนไลน์ (UX/UI)
พัฒนาเว็บไซต์และแพลตฟอร์มออนไลน์ให้ใช้งานง่าย ค้นหาสินค้าสะดวก และชำระเงินได้หลายช่องทาง พร้อมแสดงข้อมูลสินค้าที่ครบถ้วน ชัดเจน มีภาพประกอบคุณภาพดี เพื่อช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
7. เปิดตัวสินค้าหรือบริการใหม่ ๆ ที่มีเอกลักษณ์
พัฒนาและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่าง ตอบโจทย์ความต้องการที่ยังไม่มีใครทำ หรือทำได้ดีกว่าที่มีอยู่ในตลาด อาจเป็นนวัตกรรมใหม่ การปรับปรุงคุณสมบัติ หรือการออกแบบที่โดดเด่น เพื่อดึงดูดความสนใจและสร้างยอดขาย
8. การจัดส่งฟรีหรือราคาพิเศษในการจัดส่ง
ลดอุปสรรคในการตัดสินใจซื้อด้วยบริการจัดส่งฟรีเมื่อซื้อครบตามยอดที่กำหนด หรือคิดค่าจัดส่งในราคาพิเศษ พร้อมระบบติดตามพัสดุที่แม่นยำ และการรับประกันการจัดส่งที่รวดเร็ว ปลอดภัย สร้างความมั่นใจให้ผู้ซื้อ
9. ใช้รีวิวและคำแนะนำจากลูกค้าก่อนหน้า
แสดงความน่าเชื่อถือผ่านรีวิวจากลูกค้าจริง ทั้งข้อความ รูปภาพ และวิดีโอการใช้งาน โดยเน้นรีวิวที่มีรายละเอียดข้อดี เพื่อช่วยให้ลูกค้าใหม่เห็นภาพการใช้งานจริงและตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
10. สร้าง Loyalty Program หรือโปรแกรมสะสมแต้ม
พัฒนาระบบสมาชิกที่ให้สิทธิประโยชน์หลากหลาย ทั้งการสะสมแต้มแลกของรางวัล ส่วนลดพิเศษ สิทธิ์การเข้าถึงสินค้าก่อนใคร และการบริการพิเศษเฉพาะสมาชิก เพื่อสร้างความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว
11. จัดอิเวนต์หรือกิจกรรมพิเศษ (Webinar, Workshop)
การจัดกิจกรรมออนไลน์เป็นกลยุทธ์สำคัญในการเพิ่มยอดขาย ผ่านการสร้างประสบการณ์ตรงให้กับกลุ่มเป้าหมาย ทั้ง Webinar ให้ความรู้เชิงลึก และ Workshop ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ทดลองใช้สินค้า ช่วยสร้างความเชื่อมั่น และกระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
12. การใช้ SMS Marketing เพื่อแจ้งโปรโมชัน
ใช้ SMS เป็นเครื่องมือเร่งยอดขายด่วนผ่านการส่งข้อความโปรโมชันตรงถึงมือลูกค้า ด้วยเนื้อหากระชับ เข้าใจง่าย พร้อมลิงก์สั่งซื้อที่สะดวก ส่งในจังหวะเวลาที่เหมาะสม จะช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อและเพิ่มยอดขายได้ทันทีและทั้งหมดนี้ ก็เป็นเทคนิคดี ๆ ที่สามารถนำไปปรับใช้เพื่อเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจได้เป็นอย่างดี ซึ่งหนึ่งในเทคนิคสำคัญที่ห้ามพลาด ก็คือการแจ้งข่าวสารโปรโมชันอยู่บ่อย ๆ อย่างการทำ SMS Marketing ที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ แต่ให้ผลลัพธ์ในการเปิดอ่านที่ดี หากใครกำลังมองหาบริการส่ง SMS คุณภาพสูง deeSMSX พร้อมให้บริการด้วยระบบที่มีความเสถียร รองรับการส่งข้อความได้เป็นจำนวนมาก ในราคาเริ่มต้นที่ 0.15 บาท / ข้อความ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 02-095-5168 Line @deecom หรือ เฟซบุ๊ก deeSMSX