CRM คืออะไร ทำไมเป็นระบบที่ธุรกิจยุคใหม่ขาดไม่ได้

CRM คืออะไร ทำไมเป็นระบบที่ธุรกิจยุคใหม่ขาดไม่ได้

ธุรกิจทุกประเภทต่างเผชิญความท้าทายในการสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า การแข่งขันที่สูงขึ้นทำให้หลายองค์กรต้องหันมาให้ความสำคัญกับระบบ CRM คือเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยยกระดับการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

CRM คืออะไร ช่วยจัดการธุรกิจได้อย่างไร

CRM คือ ระบบที่ช่วยจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationship Management) โดยเป็นเครื่องมือที่รวบรวมข้อมูล และการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าไว้ในที่เดียว ทำให้องค์กรสามารถดูแล และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด โดยมีข้อมูลในระบบที่เชื่อมโยงถึงกัน

รู้จักหลักการทำงานพื้นฐานของระบบ CRM

CRM คือระบบที่ทำงานบนพื้นฐานของการจัดเก็บ และวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ข้อมูลการติดต่อ ประวัติการซื้อขาย พฤติกรรมการใช้บริการ ไปจนถึงการติดตามการทำงานของทีมขาย ทำให้ธุรกิจสามารถวางแผนการตลาด และการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ทุกแผนกสามารถเข้าถึงข้อมูลได้

บทบาทของ CRM ในการดำเนินธุรกิจ

ในการดำเนินธุรกิจสมัยใหม่ CRM คือหัวใจสำคัญที่ช่วยเชื่อมโยงทุกส่วนงานเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายขาย การตลาด หรือบริการหลังการขาย ระบบจะช่วยให้ทุกฝ่ายสามารถเข้าถึงข้อมูลลูกค้าและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สิ่งที่ธุรกิจจะได้รับจากระบบ CRM

สิ่งที่ธุรกิจจะได้รับจากระบบ CRM

การนำระบบ CRM มาใช้ในองค์กรจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยเฉพาะในด้านการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าและการเพิ่มยอดขาย เพื่อให้เห็นภาพ เรามาดูสิ่งที่ธุรกิจได้รับจากการมีระบบ CRM กัน 

การเติบโตของยอดขายและรายได้

CRM คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย ด้วยการติดตามและวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า ทำให้ทีมขายสามารถนำเสนอสินค้า และบริการได้ตรงกับความต้องการ ส่งผลให้อัตราการปิดการขายสูงขึ้นและรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

โอกาสทางธุรกิจที่มาพร้อมข้อมูลเชิงลึก

ด้วยความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล CRM คือระบบที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจพฤติกรรม และความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ทำให้สามารถระบุโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ และพัฒนากลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพ จากการนำฐานข้อมูลที่มีไปต่อยอดลงทุน

จุดเด่นที่ควรมีระบบ CRM มากกว่าไม่มี

ระบบ CRM มีจุดเด่นที่ช่วยให้การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านการจัดการข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงลึก

ระบบจัดการข้อมูลอัจฉริยะ

CRM คือระบบที่รวบรวมข้อมูลลูกค้าไว้ในที่เดียว พร้อมระบบจัดการที่ช่วยให้ทีมงานสามารถเข้าถึงและใช้งานข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อนและความผิดพลาดในการทำงาน

เครื่องมือวิเคราะห์ที่แม่นยำ

ระบบ CRM มาพร้อมเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลที่ทันสมัย ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามผลการดำเนินงาน วิเคราะห์แนวโน้มตลาด และคาดการณ์พฤติกรรมลูกค้าได้อย่างแม่นยำ

วิธีใช้ CRM ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในธุรกิจ

วิธีใช้ CRM ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในธุรกิจ

การนำระบบ CRM มาใช้ในองค์กรนั้นต้องอาศัยการวางแผน และการเตรียมความพร้อมอย่างรอบด้าน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อธุรกิจ ต่อไปนี้คือแนวทางสำคัญในการนำ CRM ไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้ 

  1. การวางแผนการใช้งานอย่างเป็นระบบ : องค์กรควรกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนในการนำ CRM มาใช้ พร้อมทั้งวางแผนการดำเนินงานที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ทางธุรกิจ
  2. การฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากร : ทีมงานทุกคนที่เกี่ยวข้องควรได้รับการฝึกอบรมการใช้งานระบบอย่างถูกต้อง เพื่อให้สามารถใช้งานระบบได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
  3. การปรับกระบวนการทำงาน : องค์กรควรมีการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานให้สอดคล้องกับระบบ CRM เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
  4. การติดตามและประเมินผล : ควรมีการติดตามและประเมินผลการใช้งานระบบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าการใช้งาน CRM เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจสูงขึ้นทุกวัน CRM คือระบบที่จะช่วยให้ธุรกิจรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันและเติบโตอย่างยั่งยืน หากคุณกำลังมองหาวิธีการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้าที่มีประสิทธิภาพ ลองพิจารณาใช้บริการ SMS Marketing จาก deeSMSX ที่สามารถทำงานร่วมกับระบบ CRM ได้อย่างไร้รอยต่อ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารกับลูกค้าของคุณ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 02-095-5168 Line @deecom หรือ เฟซบุ๊ก deeSMSX

Customer Engagement คืออะไร ทำไมสำคัญกับการสร้างฐานลูกค้า

Customer Engagement คืออะไร ทำไมสำคัญกับการสร้างฐานลูกค้า

การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จทางธุรกิจ โดยเฉพาะในยุคที่การแข่งขันทางการตลาดสูงเช่นนี้ Customer Engagement คือกลยุทธ์ที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน ผ่านการสร้างความผูกพันที่แน่นแฟ้นกับลูกค้า แต่การสร้างสัมพันธ์กับลูกค้าจะมีวิธีอย่างไร deeSMSX จะมาอธิบายให้เอง 

Customer Engagement คืออะไร

Customer Engagement คือ กระบวนการสร้างความสัมพันธ์ และการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ผ่านการสื่อสารและกิจกรรมต่าง ๆ ในทุกรูปแบบ เพื่อช่วยให้แบรนด์เกิดการจดจำ และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าในระยะยาว 

Customer Engagement และ Customer Service ต่างกันอย่างไร

Customer Engagement และ Customer Service ต่างกันอย่างไร

ในขณะที่ Customer Service เน้นการแก้ปัญหา และตอบสนองความต้องการของลูกค้าในแต่ละครั้ง แต่ Customer Engagement คือการสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่านั้น โดย Customer Engagement คือการทำให้ลูกค้ารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ ผ่านการสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจตลอดระยะเวลาที่ใช้บริการ

ผลกระทบต่อความสำเร็จของธุรกิจ

Customer Engagement คือปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อความสำเร็จของธุรกิจ เพราะลูกค้าที่มีความผูกพันกับแบรนด์มักจะซื้อสินค้าและบริการมากขึ้น แนะนำต่อให้คนอื่น และมีความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการตลาดลดลงและรายได้เพิ่มขึ้น

ทำไมต้องให้ความสำคัญกับ Customer Engagement

การสร้าง Customer Engagement คือสิ่งที่ธุรกิจไม่อาจมองข้ามในปัจจุบัน เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ลูกค้าต้องการมากกว่าแค่สินค้าและบริการที่ดี แต่ยังต้องการประสบการณ์และความสัมพันธ์ที่พิเศษกับแบรนด์

การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัล

เพราะผู้บริโภคยุคดิจิทัลมีความคาดหวังสูงขึ้น ต้องการการตอบสนองที่รวดเร็ว และประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัว Customer Engagement คือกลยุทธ์ที่ช่วยตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้ได้ ผ่านการใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ

การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในตลาดออนไลน์

ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง Customer Engagement คือจุดแข็งที่ช่วยให้แบรนด์โดดเด่นและแตกต่าง การสร้างความผูกพันที่แท้จริงกับลูกค้าจะช่วยให้ธุรกิจมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง และรักษาส่วนแบ่งตลาดได้อย่างยั่งยืน และไม่ถูกกลืนไปกับตลาดจนถูกลืม

องค์ประกอบสำคัญของการสร้าง Customer Engagement

การสร้าง Customer Engagement คือการผสมผสานหลายองค์ประกอบเข้าด้วยกัน ทั้งการสื่อสาร การบริการ และการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า โดยต้องทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ซึ่งองค์ประกอบที่สำคัญ จะมีดังนี้ 

การสร้างประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคล

การใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีเพื่อสร้างประสบการณ์ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับลูกค้าแต่ละคน หรือที่เรียกว่า Personalized Marketing ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีหนึ่งที่ใช้สร้าง Customer Engagement ได้ดี เพราะลูกค้าจะรู้สึกพิเศษกว่า

การสร้างคุณค่าและความประทับใจ

การมอบคุณค่าที่มากกว่าแค่สินค้าและบริการ แต่รวมถึงการให้ข้อมูล ความรู้ และประสบการณ์ที่มีความหมาย ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ดี และยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ดูมีมูลค่ามากขึ้นด้วย 

เครื่องมือในการทำ Customer Engagement

เครื่องมือในการทำ Customer Engagement

การสร้าง Customer Engagement คือกระบวนการที่ต้องใช้เครื่องมือและช่องทางที่หลากหลาย เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย : เป็นช่องทางหลักในการสร้างการมีส่วนร่วม และการสื่อสารกับลูกค้า ทั้งการโพสต์คอนเทนต์ที่น่าสนใจ การจัดกิจกรรม การตอบคอมเมนต์ และการสร้างคอมมูนิตี้ออนไลน์ ซึ่งช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงกับกลุ่มเป้าหมาย และมีปฏิสัมพันธ์ได้ง่ายขึ้น 
  • โปรแกรมสมาชิกและระบบสะสมคะแนน : สร้างแรงจูงใจให้ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์อย่างต่อเนื่อง ผ่านการให้รางวัล ส่วนลด และสิทธิพิเศษต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า พร้อมระบบติดตามพฤติกรรมการใช้งานเพื่อนำมาพัฒนาบริการ
  • แอปพลิเคชันมือถือ : พัฒนาแอปพลิเคชันที่ใช้งานง่าย รวมทุกบริการไว้ในที่เดียว ทั้งการซื้อสินค้า ตรวจสอบคะแนนสะสม รับโปรโมชัน และติดต่อฝ่ายบริการลูกค้า พร้อมฟีเจอร์แจ้งเตือนข่าวสารและสิทธิพิเศษที่น่าสนใจ
  • ระบบ CRM : จัดการข้อมูลลูกค้าแบบครบวงจร วิเคราะห์พฤติกรรมและความต้องการเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่เหมาะสม ติดตามประวัติการซื้อและการใช้บริการ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวและตรงใจลูกค้า
  • ระบบตอบรับอัตโนมัติ : ให้บริการลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยระบบ AI Chatbot ที่สามารถตอบคำถามพื้นฐาน แก้ไขปัญหาเบื้องต้น และส่งต่อให้เจ้าหน้าที่เมื่อจำเป็น ช่วยลดระยะเวลารอคอยและเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า

ตัวอย่างแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จด้าน Customer Engagement

หลายแบรนด์ชั้นนำได้พิสูจน์ให้เห็นว่า Customer Engagement คือกุญแจสู่ความสำเร็จทางธุรกิจ ผ่านกลยุทธ์ที่สร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพ

  • Line Shopping : สร้างการมีส่วนร่วมผ่านระบบสะสมคอยน์ที่สามารถใช้แลกส่วนลดได้ และมีการจัดแคมเปญพิเศษร่วมกับร้านค้าชั้นนำอย่างต่อเนื่อง
  • Shopee : ใช้กลยุทธ์เกมมิฟิเคชันผ่านมินิเกมและกิจกรรมสะสมเหรียญ สร้างความสนุกและดึงดูดให้ผู้ใช้กลับมาใช้แอปพลิเคชันทุกวัน
  • Lazada : จัดกิจกรรมไลฟ์สตรีมมิงที่ให้ผู้ขายได้พูดคุยกับลูกค้าแบบเรียลไทม์ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษเฉพาะช่วงไลฟ์

เพราะการสร้าง Customer Engagement คือกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล และหนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพคือการทำ SMS Marketing ผ่านบริการจาก deeSMSX ที่ช่วยให้คุณส่งข้อความถึงลูกค้าได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย สร้างการรับรู้ และกระตุ้นยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยระบบที่ใช้งานง่าย ราคาถูกที่สุดในไทย เริ่มต้นที่ 0.15 บาท / ข้อความ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 02-095-5168 Line @deecom หรือ เฟซบุ๊ก deeSMSX

Personalized Marketing คืออะไร กับความสำคัญในยุคดิจิทัล

Personalized Marketing คืออะไร กับความสำคัญในยุคดิจิทัล

การทำธุรกิจในปัจจุบันต้องเผชิญกับความท้าทายในการเข้าถึงลูกค้าอย่างมาก เพราะกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มมักมีความต้องการที่แตกต่างกันไป Personalized Marketing คืออีกหนึ่งรูปแบบการทำการตลาดที่ตอบโจทย์ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี แต่วิธีที่ว่านี้จะเป็นอย่างไร deeSMSX จะมาอธิบายแบบง่าย ๆ ให้เข้าใจกัน 

Personalized Marketing คืออะไร

Personalized Marketing คือ กลยุทธ์การตลาดที่ใช้เทคโนโลยี และข้อมูลเชิงลึกในการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า เพื่อนำเสนอสินค้า บริการ และประสบการณ์ที่เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะบุคคล เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อหรือมีส่วนร่วมให้มากที่สุด 

ทำไมต้องทำ Personalized Marketing

ทำไมต้องทำ Personalized Marketing

ในโลกดิจิทัลที่มีการแข่งขันสูง การสร้างความแตกต่าง และความประทับใจให้กับลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด Personalized Marketing ช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด เราลองมาดูสาเหตุกันว่าทำไมต้องใช้วิธีนี้เพื่อเจาะตลาด

แนวโน้มพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

เพราะผู้บริโภคในปัจจุบันต้องการประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น พวกเขาคาดหวังว่าแบรนด์จะเข้าใจความต้องการและนำเสนอสิ่งที่ตรงใจ การทำ Personalized Marketing คือวิธีที่จะช่วยให้ธุรกิจตอบสนองความคาดหวังนี้ได้ จากการศึกษาพบว่า 80% ของผู้บริโภคมีแนวโน้มซื้อสินค้าจากแบรนด์ที่มอบประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคล

การแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดออนไลน์

ด้วยจำนวนคู่แข่งที่เพิ่มขึ้นในตลาดออนไลน์ การสร้างความแตกต่างจึงเป็นสิ่งจำเป็น Personalized Marketing คือกลยุทธ์ที่ช่วยให้ธุรกิจโดดเด่น และรักษาฐานลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แบรนด์ที่สามารถเข้าใจ และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีกว่าย่อมได้เปรียบในการแข่งขัน

องค์ประกอบสำคัญของการทำ Personalized Marketing

การทำการตลาดแบบเฉพาะบุคคลให้ประสบความสำเร็จ จำเป็นต้องมีองค์ประกอบสำคัญที่ครบถ้วน เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ตรงใจลูกค้าอย่างแท้จริง เรามาดูกันว่าหลัก ๆ มีอะไรบ้าง 

การเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า

การทำ Personalized Marketing คือการใช้ข้อมูลให้เกิดประโยชน์สูงสุด ธุรกิจจึงต้องเก็บข้อมูลทั้งเชิงประชากรศาสตร์ พฤติกรรมการซื้อ และการมีส่วนร่วมกับแบรนด์ การวิเคราะห์ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้เข้าใจความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น 

การสร้างคอนเทนต์ที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย

เมื่อเข้าใจลูกค้าแล้ว การสร้างคอนเทนต์ที่เหมาะสมเป็นขั้นตอนสำคัญ Personalized Marketing คือการนำเสนอเนื้อหาที่สอดคล้องกับความสนใจ และความต้องการของแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะเป็นอีเมล โฆษณา หรือข้อเสนอพิเศษแบบเจาะจง เพื่อกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วม และเกิดการซื้อสินค้าหรือบริการในท้ายที่สุด 

เครื่องมือในการทำ Personalized Marketing

เครื่องมือในการทำ Personalized Marketing

การทำการตลาดแบบเฉพาะบุคคลต้องอาศัยเครื่องมือที่หลากหลาย ได้แก่

  • ระบบ CRM : เครื่องมือหลักในการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า ช่วยเก็บข้อมูลประวัติการซื้อ การติดต่อ และพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละราย พร้อมทั้งวิเคราะห์และคาดการณ์ความต้องการในอนาคต เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการได้อย่างเหมาะสม
  • แพลตฟอร์มการวิเคราะห์ข้อมูล : ระบบที่ช่วยประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่จากหลากหลายแหล่ง ทั้งพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ การตอบสนองต่อแคมเปญ และการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างภาพรวมของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างแม่นยำ
  • ระบบการส่งอีเมลและ SMS แบบเฉพาะบุคคล : แพลตฟอร์มที่ช่วยในการออกแบบและส่งข้อความที่ปรับแต่งให้เหมาะกับผู้รับแต่ละคน สามารถกำหนดเวลาส่ง แยกกลุ่มผู้รับ และติดตามผลการตอบสนองได้ ทำให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ระบบโฆษณาที่ปรับเปลี่ยนตามผู้ชม : เครื่องมือที่ช่วยแสดงโฆษณาที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละคน เช่น ลูกค้าที่เคยดูรองเท้าวิ่งจะเห็นโฆษณารองเท้าวิ่งรุ่นใหม่ ในขณะที่คนที่สนใจกระเป๋าจะเห็นโฆษณากระเป๋าคอลเลคชั่นล่าสุด ระบบจะปรับเปลี่ยนทั้งรูปภาพ ข้อความ และข้อเสนอให้เหมาะกับความสนใจของแต่ละคนโดยอัตโนมัติ

ตัวอย่างการทำ Personalized Marketing ที่ประสบความสำเร็จ

ในปัจจุบัน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเราล้วนเกี่ยวข้องกับการทำ Personalized Marketing ทั้งนั้น แต่เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดที่สุด นี่คือตัวอย่างธุรกิจที่ใช้วิธีนี้ได้อย่างเห็นผล 

  • Netflix : ใช้ระบบแนะนำคอนเทนต์ที่ปรับเปลี่ยนตามพฤติกรรมการรับชมของผู้ใช้ เพื่อทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่ามีคอนเทนต์ในแนวที่ชอบอยู่อีกเพียบ และไม่กดยกเลิกสมาชิกเพราะยังมีคอนเทนต์ที่ยังต้องการดูต่อเรื่อย ๆ 
  • Spotify : สร้างเพลย์ลิสต์เฉพาะบุคคลและ แนะนำเพลงตามรสนิยมของผู้ฟัง ซึ่งตอบโจทย์สำหรับคนรักการฟังเพลงที่ได้ค้นพบเพลงใหม่ ๆ ในแนวที่ใกล้เคียงเดิม จึงเป็นการเปิดประสบการณ์การรับฟังที่ดีให้ผู้ใช้งานได้เรื่อย ๆ
  • Amazon : นำเสนอสินค้าที่เกี่ยวข้องกับประวัติการซื้อ หรือการค้นหาที่ผ่านมา เพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น หรืออย่างน้อยก็กระตุ้นให้เกิดความอยากซื้ออยู่เรื่อย ๆ ซึ่งช่วยกระตุ้นยอดขายได้เป็นอย่างดี

จะเห็นได้ว่า Personalized Marketing คือกลยุทธ์ที่จะทวีความสำคัญมากขึ้นในอนาคต เพราะธุรกิจที่สามารถปรับตัว และเจาะกลุ่มลูกค้าได้ตรงใจมากที่สุด จะเป็นเพียงผู้เหลือรอดเท่านั้นในยุคที่แข่งขันกันสูง และหนึ่งในวิธีที่ง่าย และเห็นผลลัพธ์ได้ดีก็คือการทำ SMS Marketing ที่สามารถนำเสนอโปรโมชัน และข่าวสารต่าง ๆ ได้ทุกเวลาในต้นทุนที่ไม่แพง ซึ่งทาง deeSMSX ก็มีบริการส่ง SMS คุณภาพสูง รองรับการส่งได้เป็นจำนวนมาก โดยมีค่าบริการเริ่มต้นที่ 0.15 บาท / ข้อความ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 02-095-5168 Line @deecom หรือ เฟซบุ๊ก deeSMSX

เจาะลึก ROI คืออะไรในโลกธุรกิจ ทำไมต้องรู้วิธีคำนวณ

เจาะลึก ROI คืออะไรในโลกธุรกิจ ทำไมต้องรู้วิธีคำนวณ

การวัดความคุ้มค่าในการลงทุนหรือที่หลายคนรู้จักกันว่า ROI คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ เพราะนอกจากจะทำให้ทราบถึงประสิทธิภาพในการบริหารเงินลงทุนแล้ว ยังช่วยในการตัดสินใจวางแผนธุรกิจในอนาคตได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

ROI คืออะไร ทำไมถึงสำคัญในโลกธุรกิจ

ในแวดวงธุรกิจ ROI คืออัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่ใช้วัดประสิทธิภาพในการสร้างกำไรจากเงินที่ลงทุนไป หลายคนอาจสงสัยว่า ROI คือตัวชี้วัดที่สำคัญแค่ไหน ความจริงแล้ว ROI คือเครื่องมือที่จะบอกได้ว่าการลงทุนนั้นคุ้มค่าหรือไม่ และควรปรับปรุงกลยุทธ์อย่างไรเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น

ทำไมธุรกิจต้องคำนวณ Marketing ROI

สำหรับนักการตลาด ROI คือ ตัวชี้วัดที่ช่วยประเมินประสิทธิภาพของกิจกรรมทางการตลาดและการลงทุนต่างๆ ได้อย่างเป็นรูปธรรม ในมุมมองของผู้บริหาร ROI คือเครื่องมือที่มีประโยชน์หลัก ๆ ดังนี้

  • ช่วยในการตัดสินใจเลือกช่องทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะ ROI คือตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนในการเปรียบเทียบผลตอบแทนจากแต่ละช่องทาง
  • ทำให้เข้าใจพฤติกรรมและการตอบสนองของลูกค้าต่อแคมเปญต่าง ๆ เนื่องจาก ROI คือตัวสะท้อนผลลัพธ์ที่แท้จริงของการทำการตลาด
  • ช่วยในการบริหารงบประมาณการตลาดให้มีประสิทธิภาพ เพราะ ROI คือมาตรวัดที่ช่วยลดการสูญเสียเงินลงทุนในช่องทางที่ไม่ก่อให้เกิดผลตอบแทนที่คุ้มค่า
  • สามารถใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนธุรกิจ เพราะ ROI คือข้อมูลที่อ้างอิงจากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง

วิธีคำนวณ Marketing ROI พร้อมตัวอย่าง

วิธีคำนวณ Marketing ROI พร้อมตัวอย่าง

เมื่อเข้าใจแล้วว่า ROI คืออะไร มาดูวิธีการคำนวณโดยใช้สูตรกัน : ROI = ((รายได้ – ต้นทุน) / ต้นทุน) x 100

ตัวอย่าง : บริษัทลงทุนทำแคมเปญการตลาดมูลค่า 100,000 บาท และสามารถสร้างรายได้ 250,000 บาท

ROI = ((250,000 – 100,000) / 100,000) x 100

= (150,000 / 100,000) x 100

= 150%

การวิเคราะห์ค่า ROI ที่ได้สามารถบ่งบอกถึงความคุ้มค่าในการลงทุน ดังนี้

  • ROI มากกว่า 0% หรือ 100% แสดงว่าการลงทุนมีกำไร โดยยิ่งค่า ROI สูงมากเท่าไร ยิ่งสะท้อนถึงผลตอบแทนที่สูงตามไปด้วย
  • ROI เท่ากับ 0% หมายถึงการลงทุนที่เท่าทุน คือไม่มีกำไรและไม่ขาดทุน
  • ROI ต่ำกว่า 0% หรือ 100% บ่งชี้ว่าการลงทุนขาดทุน ซึ่งยิ่งค่าติดลบมากเท่าไร ยิ่งแสดงถึงการขาดทุนที่รุนแรง

อย่างไรก็ตาม การตั้งเป้าหมาย ROI ควรพิจารณาให้สูงกว่า 300% เนื่องจากในความเป็นจริงยังมีต้นทุนแฝงอีกมากมายที่ต้องคำนึงถึง เช่น ค่าแรงพนักงาน ค่าสาธารณูปโภค ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายดำเนินงานอื่นๆ ดังนั้น การมี ROI ที่สูงจะช่วยให้ธุรกิจมีกำไรที่เพียงพอต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน แม้จะต้องหักลบต้นทุนแฝงเหล่านี้แล้วก็ตาม

5 เทคนิคการเพิ่ม ROI ให้ตรงตามเป้าหมาย

5 เทคนิคการเพิ่ม ROI ให้ตรงตามเป้าหมาย

การเพิ่ม ROI เป็นเป้าหมายสำคัญของทุกธุรกิจ มาดูวิธีการที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ

ต้องเริ่มจากการวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน และกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจน เช่น ยอดขายที่ต้องการเพิ่มขึ้น จำนวนลูกค้าใหม่ หรืออัตราการซื้อซ้ำ พร้อมทั้งระบุระยะเวลาที่ต้องการบรรลุเป้าหมาย เพื่อให้สามารถวางแผนกลยุทธ์และจัดสรรทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม

2. เลือกช่องทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ

วิเคราะห์พฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย และเลือกใช้ช่องทางที่เหมาะสม โดยพิจารณาจากข้อมูลการตอบสนองในแต่ละช่องทาง ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อให้การลงทุนในแต่ละช่องทางสร้างผลตอบแทนสูงสุด

3. ปรับกลยุทธ์การตลาดให้ยืดหยุ่น

การวางแผนการตลาดที่ยืดหยุ่นช่วยให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างรวดเร็ว ควรมีการติดตามผล และเตรียมแผนสำรองไว้เสมอ เพื่อปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

4. ปรับแต่งและทดสอบโฆษณาอย่างต่อเนื่อง

ทำการทดสอบรูปแบบโฆษณา ข้อความ และภาพที่ใช้อย่างสม่ำเสมอ วิเคราะห์ผลตอบรับจากกลุ่มเป้าหมาย และปรับปรุงให้ตรงกับความต้องการมากขึ้น การทดสอบอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้เข้าใจว่าอะไรที่ได้ผลดีที่สุดสำหรับธุรกิจ

5. ติดตามและประเมินผลอย่างสม่ำเสมอ

ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อติดตามผลการดำเนินงานในทุกมิติ ทั้งยอดขาย อัตราการคลิก และพฤติกรรมผู้บริโภค นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และปรับปรุงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การลงทุนมีประสิทธิภาพสูงสุดการวัดและติดตาม ROI อย่างถูกต้องเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จทางธุรกิจ ยิ่งในยุคที่การแข่งขันสูงเช่นนี้ การเข้าใจและใช้ประโยชน์จาก ROI คือโอกาสที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน หากคุณต้องการเครื่องมือที่ช่วยวัดผลและติดตาม ROI อย่างมีประสิทธิภาพ บริการส่ง SMS จาก deeSMSX พร้อมช่วยให้การทำการตลาดของคุณมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ด้วยระบบที่เสถียร รองรับการส่งข้อความจำนวนมาก ในราคาเริ่มต้นเพียง 0.15 บาท/ข้อความ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 02-095-5168 Line  @deecom หรือ เฟซบุ๊ก deeSMSX

Customer Loyalty คืออะไร ทำไมถึงเป็นรากฐานที่ธุรกิจขาดไม่ได้

Customer Loyalty คืออะไร ทำไมถึงเป็นรากฐานที่ธุรกิจขาดไม่ได้

การสร้างความประทับใจให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำถือเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จทางธุรกิจ เพราะไม่เพียงช่วยเพิ่มยอดขายอย่างต่อเนื่อง แต่ยังลดต้นทุนการหาลูกค้าใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ Customer Loyalty คือกลยุทธ์สำคัญที่ธุรกิจต้องให้ความสำคัญ วันนี้ deeSMSX เราจะพามาเจาะลึกเรื่องนี้ในทุกมุมมองกัน 

Customer Loyalty คืออะไร

Customer Loyalty คือ ความจงรักภักดีที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ อันเกิดจากความประทับใจในสินค้าและบริการที่ได้รับ จนเกิดเป็นความเชื่อมั่นและไว้วางใจ ส่งผลให้เกิดการซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการแนะนำบอกต่อให้ผู้อื่นมาใช้บริการ กลายเป็นพลังสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

ทำไม Customer Loyalty ถึงสำคัญกว่าที่คิด

การมี Customer Loyalty ที่แข็งแกร่งส่งผลดีต่อธุรกิจในหลายด้าน ทั้งการเพิ่มยอดขายระยะยาว เพราะลูกค้าที่มีความภักดีมีโอกาสกลับมาซื้อซ้ำสูงกว่าลูกค้าทั่วไป โดยงานวิจัยพบว่าลูกค้าที่มีความภักดีเพียง 5% สามารถสร้างยอดขายและกำไรได้มากกว่า 25-95% นอกจากนี้ยังช่วยประหยัดต้นทุนการตลาด เพราะลูกค้ากลุ่มนี้มักแนะนำบอกต่อ สร้างการเติบโตแบบออร์แกนิกให้กับธุรกิจ

ทำความเข้าใจประเภทของ Customer Loyalty

ทำความเข้าใจประเภทของ Customer Loyalty

ความภักดีของลูกค้าแต่ละคนมีความแตกต่างกัน การทำความเข้าใจรูปแบบความภักดีจะช่วยให้ธุรกิจวางกลยุทธ์การตลาดได้อย่างเหมาะสม

Hard-Core Brand Loyalty (ความภักดีต่อแบรนด์เดียว)

ลูกค้ากลุ่มนี้มีความภักดีสูงสุด เลือกใช้เฉพาะแบรนด์ที่ชื่นชอบเท่านั้น แม้คู่แข่งจะมีราคาถูกกว่าหรือโปรโมชันที่ดีกว่า เช่น ลูกค้า Apple ที่ยังคงเลือกซื้อ iPhone รุ่นใหม่แม้ราคาจะสูงกว่าสมาร์ตโฟนแบรนด์อื่น

Split Loyal Customers (ความภักดีหลายแบรนด์)

ลูกค้ามีแบรนด์โปรดในใจ 2-3 แบรนด์ โดยมักเลือกแบรนด์ที่ชอบที่สุดเป็นอันดับแรก แต่พร้อมเปลี่ยนไปใช้แบรนด์อื่นที่อยู่ในใจหากจำเป็น ความภักดีอาจเกิดจากความประทับใจในด้านต่างๆ เช่น บริการ การจัดส่ง

Shifting Loyal Customers (ลูกค้าที่พร้อมเปลี่ยนใจ)

เริ่มจากการมีความภักดีต่อแบรนด์หนึ่ง แต่เมื่อได้ลองใช้อีกแบรนด์แล้วเกิดความประทับใจ ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนความภักดีไปยังแบรนด์ใหม่

Switching Customers (ลูกค้าที่ไม่ยึดติดกับแบรนด์ใด)

ลูกค้ากลุ่มนี้ชอบทดลองสิ่งใหม่ๆ ไม่ยึดติดกับแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง มักตัดสินใจซื้อตามกระแสหรือคำรีวิว

Need-Based Loyal Customers (ลูกค้าที่ภักดีตามความต้องการ)

ไม่มีแบรนด์ที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ ตัดสินใจซื้อจากปัจจัยต่างๆ เช่น คุณภาพ ราคา โปรโมชัน และพร้อมเปลี่ยนแบรนด์ได้ตลอด

หากต้องการมี Customer Loyalty จะมีวิธีสร้างอย่างไร

หากต้องการมี Customer Loyalty จะมีวิธีสร้างอย่างไร

การสร้างความภักดีต่อแบรนด์ต้องอาศัยการวางแผนและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลายเพื่อสร้างความประทับใจและรักษาฐานลูกค้าในระยะยาว

1. ให้ประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมาย

สร้างความประทับใจที่แตกต่างจากคู่แข่งในทุก ๆ เรื่อง โดยไม่ใช่เพียงการบริการที่ดีเยี่ยมเท่านั้น แต่อาจเป็นการทำในสิ่งที่ลูกค้าไม่ได้คาดหวังเช่น การมอบสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกในเดือนเกิด หรือการส่งของขวัญจากแบรนด์เล็ก ๆ น้อย ๆ ในโอกาสสำคัญในรอบปี 

2. ใช้โปรแกรมสะสมแต้มและรางวัล

สร้างระบบสมาชิกที่มอบสิทธิประโยชน์พิเศษ เช่น การสะสมแต้ม ส่วนลด หรือสิทธิพิเศษต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นการซื้อซ้ำ และสร้างความรู้สึกคุ้มค่ากับแบรนด์ แต่ก็ต้องมีการกำหนดระยะเวลาเช่นกัน เพื่อให้แบรนด์ไม่ถูกลืมจากลูกค้า 

3. ทำการตลาดแบบ Personalized

วิเคราะห์และนำเสนอสินค้าที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย โดยใช้ข้อมูลพฤติกรรม และความชอบของลูกค้ามาสร้างการตลาดที่ตรงใจ นำเสนอสินค้าและบริการที่เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะบุคคล 

4. การตอบแทนลูกค้าผ่านการบริการที่น่าประทับใจ

พัฒนาคุณภาพการบริการในทุกจุดเพื่อสร้างความประทับใจที่ยาวนาน โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพการบริการในทุกขั้นตอน ฝึกอบรมพนักงานให้มีทักษะการบริการที่เป็นเลิศ และใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้ลงทุนเยอะ แต่สร้างผลลัพธ์ที่ดีให้กับภาพลักษณ์แบรนด์ได้มหาศาล 

5. จัดกิจกรรมพิเศษและโปรโมชันสำหรับลูกค้าประจำ

มอบสิทธิพิเศษที่แตกต่างจากลูกค้าทั่วไปเพื่อตอกย้ำความสำคัญ สร้างกิจกรรมและโปรโมชันเฉพาะสำหรับลูกค้าประจำ เพื่อให้พวกเขารู้สึกพิเศษ และได้รับสิทธิประโยชน์มากกว่าลูกค้าทั่วไป เช่นส่วนลดสำหรับสมาชิก หรือ โอกาสในการซื้อสินค้าที่เป็น Limited Edition ก่อนใคร 

6. สร้างความสัมพันธ์ผ่านการสื่อสารที่มีคุณค่า

ข่าวสาร และโปรโมชัน เป็นอีกวิธีที่ทำให้ลูกค้าไม่ลืมแบรนด์ แม้ว่าในช่วงนั้นอาจจะไม่มีความต้องการที่จะซื้อก็ตาม แต่การแจ้งข่าวสารถึงสินค้าใหม่ ๆ หรือส่วนลดโปรโมชันในระยะเวลาที่จำกัด ก็จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้าเป็นประจำได้เช่นกัน  จะเห็นได้ว่าการสร้าง Customer Loyalty คือสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับทุกธุรกิจ เพราะเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยสร้างแบรนด์เพื่อให้เกิดการจดจำ แม้จะไม่ใช่ทางตรงก็ตาม และหนึ่งในช่องทางที่สะดวก รวดเร็ว และไม่ต้องลงทุนเยอะ ก็คือการแจ้งข่าวสาร และโปรโมชันด้วยการส่งข้อความ SMS ซึ่งทาง deeSMSX เป็นผู้ให้บริการ SMS Marketing คุณภาพสูง รองรับการส่งได้เป็นจำนวนมาก โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 0.15 บาท / ข้อความ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 02-095-5168 Line  @deecom หรือ เฟซบุ๊ก deeSMSX