by Anga Team | 16 Apr 2025 | General
การส่งข้อความสั้นหรือ SMS ยังคงเป็นช่องทางการสื่อสารที่มีความสำคัญสำหรับธุรกิจในปัจจุบัน แม้จะมีแพลตฟอร์มการสื่อสารใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่หนึ่งเรื่องที่หลายคนอาจยังไม่รู้ ก็คือ SMS Gateway และ SMS SMPP ที่เป็นโปรโตคอล สรุปแล้วมีความเกี่ยวข้องกันไหม ต้องเลือกใช้งานแบบไหนให้ตอบโจทย์ธุรกิจ วันนี้ deeSMSX เราจะมาอธิบายให้เอง
ทำไมบริการส่ง SMS ถึงยังสำคัญกับธุรกิจ
การส่ง SMS ยังคงเป็นวิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิผลสูงสำหรับธุรกิจ เนื่องจากข้อความมีอัตราการเปิดอ่านสูงถึง 98% ภายใน 3 นาทีหลังจากได้รับ ซึ่งสูงกว่าช่องทางอื่น ๆ เช่น อีเมลหรือการแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชัน นอกจากนี้ การส่ง SMS ยังเข้าถึงผู้ใช้ได้กว้างขวาง ไม่จำเป็นต้องมีสมาร์ทโฟนหรือการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
ตัวอย่างที่ธุรกิจใช้บริการส่ง SMS
- การยืนยันตัวตนด้วย OTP
- การแจ้งเตือนการทำธุรกรรม
- การส่งข้อมูลโปรโมชัน
- การแจ้งสถานะการจัดส่งสินค้า
- การแจ้งเตือนการนัดหมาย
SMS Gateway คืออะไร
SMS Gateway คือ ระบบที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรับและส่งข้อความ SMS ระหว่างแอปพลิเคชันของธุรกิจกับเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ SMS Gateway ช่วยให้ธุรกิจสามารถส่งข้อความไปยังผู้รับจำนวนมากได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการเครือข่ายโดยตรง การใช้ SMS Gateway เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกสำหรับธุรกิจที่ต้องการเริ่มต้นใช้บริการส่ง SMS อย่างรวดเร็ว
หลักการทำงานของ SMS Gateway
SMS Gateway ทำงานโดยรับข้อความจากระบบของธุรกิจผ่านช่องทางต่างๆ เช่น API, อีเมล หรือเว็บอินเทอร์เฟซ จากนั้นจะแปลงข้อความเหล่านั้นให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับการส่งผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ
เมื่อธุรกิจส่งคำขอส่ง SMS ผ่าน SMS Gateway ระบบจะดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้
- รับข้อมูลจากแอปพลิเคชันของธุรกิจ ซึ่งประกอบด้วยเบอร์ผู้รับและเนื้อหาข้อความ
- แปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสม
- เลือกเส้นทางการส่งที่เหมาะสมที่สุด (โดยพิจารณาจากเครือข่ายผู้รับ ต้นทุน และความเร็ว)
- ส่งข้อความไปยังเครือข่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ
- รับและรายงานสถานะการส่งกลับไปยังระบบของธุรกิจ
ข้อดีและข้อจำกัดของ SMS Gateway
ข้อดี
- ง่ายต่อการใช้งานและการเริ่มต้น ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ทางเทคนิคมาก
- มีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย บางครั้งมาพร้อมกับหน้าจัดการแบบกราฟิก
- รองรับการส่ง SMS ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น การส่งตามกำหนดเวลา หรือการส่งเป็นกลุ่ม
- ค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นต่ำ
ข้อจำกัด
- มักมีความล่าช้าในการส่ง SMS มากกว่า SMPP โดยเฉพาะเมื่อส่งในปริมาณมาก
- อาจมีข้อจำกัดในการรองรับการส่งข้อความจำนวนมากในเวลาเดียวกัน
- ไม่เหมาะสำหรับการส่ง SMS ที่ต้องการความเร็วสูงและความน่าเชื่อถือสูง เช่น OTP
- มักมีค่าใช้จ่ายต่อข้อความที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับการใช้ SMPP โดยตรง
SMS SMPP คืออะไร
SMS SMPP (Short Message Peer-to-Peer Protocol) คือโปรโตคอลมาตรฐานที่ใช้สำหรับการแลกเปลี่ยนข้อความ SMS ระหว่างระบบที่เกี่ยวข้องกับการส่งข้อความ เช่น SMSC (Short Message Service Center), ระบบการส่งข้อความของผู้ให้บริการ และแอปพลิเคชันของธุรกิจ การใช้ SMS SMPP เป็นการเชื่อมต่อโดยตรงกับผู้ให้บริการเครือข่ายหรือศูนย์บริการข้อความสั้น (SMSC) โดยไม่ผ่านตัวกลาง
หลักการทำงาน SMPP Protocol
SMPP Protocol ทำงานโดยการสร้างการเชื่อมต่อแบบ real-time ระหว่างระบบของธุรกิจกับ SMSC โดยมีขั้นตอน ดังนี้
- การเชื่อมต่อ (Bind) : ระบบของธุรกิจสร้างการเชื่อมต่อ TCP/IP กับ SMSC และส่งคำสั่ง “bind” พร้อมข้อมูลการรับรองความถูกต้อง
- การรับรองความถูกต้อง (Authentication) : SMSC ตรวจสอบข้อมูลการรับรองความถูกต้องและตอบกลับการเชื่อมต่อสำเร็จ
- การส่งข้อความ (Submit_SM) : ระบบของธุรกิจส่งคำสั่ง Submit_SM พร้อมข้อมูลข้อความและหมายเลขผู้รับ
- การยืนยันการรับ (Acknowledgment) : SMSC ตอบกลับยืนยันการรับข้อความและให้ ID ของข้อความ
- การรายงานสถานะ (Delivery Receipt) : SMSC ส่งรายงานสถานะการส่งข้อความกลับมายังระบบของธุรกิจ
- การตัดการเชื่อมต่อ (Unbind) : เมื่อเสร็จสิ้น ระบบของธุรกิจสามารถส่งคำสั่ง “unbind” เพื่อตัดการเชื่อมต่อ
ข้อดีของการใช้ SMPP สำหรับส่ง SMS
การใช้ SMS SMPP สำหรับการส่ง SMS มีข้อดีหลายอย่าง เช่น
- ความเร็วสูง : การส่ง SMS ผ่าน SMPP มีความเร็วสูงกว่า Gateway เนื่องจากเป็นการเชื่อมต่อโดยตรงกับ SMSC
- ความน่าเชื่อถือสูง : เหมาะสำหรับการส่งข้อความที่มีความสำคัญสูง เช่น OTP หรือการแจ้งเตือนธุรกรรม
- ปริมาณสูง : รองรับการส่ง SMS จำนวนมากในเวลาเดียวกัน (throughput สูง)
- ราคาต่อข้อความต่ำกว่า : สำหรับการส่งปริมาณมาก มักมีต้นทุนต่อข้อความที่ต่ำกว่า SMS Gateway
SMPP เหมาะกับการใช้งานแบบไหน
SMS SMPP เหมาะกับธุรกิจที่มีลักษณะ ดังนี้
- ธุรกิจที่ต้องการส่งข้อความจำนวนมาก : เช่น ธนาคาร บริษัทประกัน หรือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่
- ธุรกิจที่ต้องการความเร็วและความน่าเชื่อถือสูง : เช่น การส่ง OTP สำหรับการยืนยันตัวตน หรือการแจ้งเตือนธุรกรรมทางการเงิน
- ธุรกิจที่ต้องการความยืดหยุ่นในการปรับแต่ง : เช่น การกำหนดช่องทางการส่ง การจัดลำดับความสำคัญ หรือการกำหนดรูปแบบข้อความพิเศษ
- ธุรกิจที่มีทีมไอทีที่มีความรู้ทางเทคนิค : เนื่องจากการตั้งค่าและบำรุงรักษาการเชื่อมต่อ SMPP ต้องการความรู้ทางเทคนิคมากกว่า SMS Gateway
เปรียบเทียบความต่างของ SMS SMPP กับ SMS Gateway
เมื่อเลือกระหว่าง SMS SMPP กับ SMS Gateway ธุรกิจควรพิจารณาปัจจัยหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และค่าใช้จ่าย มาดูการเปรียบเทียบในแต่ละด้าน
ด้านประสิทธิภาพและความเร็ว
SMS SMPP
- ความเร็วในการส่งสูงกว่า เนื่องจากเชื่อมต่อโดยตรงกับ SMSC
- รองรับปริมาณการส่งสูง สามารถส่งได้หลายร้อยหรือหลายพันข้อความต่อวินาที
- มีอัตราการส่งสำเร็จสูงกว่า โดยเฉพาะในช่วงที่มีการใช้งานสูง
- เหมาะสำหรับการส่งข้อความที่มีความเร่งด่วน เช่น OTP ที่ต้องถึงผู้รับภายในไม่กี่วินาที
SMS Gateway
- อาจมีความล่าช้าในการส่งมากกว่า เนื่องจากมีการประมวลผลเพิ่มเติมและอาจผ่านหลายระบบ
- มีข้อจำกัดในการรองรับปริมาณการส่งสูงในเวลาเดียวกัน
- อาจมีการจัดคิวข้อความในช่วงที่มีการใช้งานสูง ทำให้การส่งล่าช้า
- เหมาะสำหรับการส่งข้อความทั่วไปที่ไม่เร่งด่วนมาก เช่น ข่าวสาร โปรโมชัน
ด้านความปลอดภัย
SMS SMPP
- มีการรับรองความถูกต้องที่เข้มงวดกว่า มักใช้การเข้ารหัสและการยืนยันตัวตนที่แข็งแกร่ง
- การเชื่อมต่อแบบถาวรช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีแบบ session hijacking
- สามารถกำหนดค่าการเข้ารหัสและนโยบายความปลอดภัยได้มากกว่า
- เหมาะสำหรับการส่งข้อความที่มีความอ่อนไหวด้านความปลอดภัย
SMS Gateway
- อาจมีการรับรองความถูกต้องที่ง่ายกว่า เช่น การใช้ API key หรือรหัสผ่านธรรมดา
- ความปลอดภัยขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ Gateway แต่ละราย
- อาจมีความเสี่ยงเพิ่มเติมเนื่องจากข้อมูลผ่านตัวกลางมากกว่า
- ด้านต้นทุนและการลงทุน
SMS SMPP
- ต้นทุนเริ่มต้นสูงกว่า เนื่องจากต้องการการพัฒนาและการตั้งค่าทางเทคนิค
- ต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคในการตั้งค่าและบำรุงรักษา
- ค่าใช้จ่ายต่อข้อความต่ำกว่าสำหรับปริมาณการส่งสูง ทำให้คุ้มค่าในระยะยาว
- อาจมีค่าใช้จ่ายคงที่สำหรับการเชื่อมต่อ SMPP
SMS Gateway
- ต้นทุนเริ่มต้นต่ำกว่า สามารถเริ่มใช้งานได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องลงทุนด้านเทคนิคมาก
- ไม่จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง สามารถใช้งานได้ง่ายผ่านอินเทอร์เฟซที่มีให้
- ค่าใช้จ่ายต่อข้อความสูงกว่า แต่มักไม่มีค่าใช้จ่ายคงที่
- เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีปริมาณการส่งไม่สูงมาก
จากการเปรียบเทียบข้างต้น จะเห็นได้ว่าการเลือกระหว่าง SMS SMPP กับ SMS Gateway ขึ้นอยู่กับความต้องการเฉพาะของธุรกิจ หากธุรกิจต้องการส่ง SMS ในปริมาณสูง ต้องการความเร็วและความน่าเชื่อถือสูง และมีทีมเทคนิคที่พร้อม การใช้ SMS SMPP จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า แต่หากธุรกิจต้องการเริ่มต้นอย่างรวดเร็ว มีงบประมาณจำกัด และมีปริมาณการส่งไม่มาก การใช้ SMS Gateway ก็เป็นทางเลือกที่ดี
และหากคุณกำลังมองหาบริการส่ง SMS แบบครบวงจร deeSMSX พร้อมช่วยเหลือธุรกิจคุณได้อย่างตอบโจทย์ ในราคาเริ่มต้นที่ 0.15 บาท / ข้อความ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 02-095-5168 Line @deecom หรือ เฟซบุ๊ก deeSMSX
by Anga Team | 16 Apr 2025 | General
การตลาดดิจิทัลในปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบ แต่มีช่องทางหนึ่งที่ทรงพลังแต่ธุรกิจจำนวนมากกลับมองข้าม นั่นคือ MMS Marketing ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารกับลูกค้า และสามารถนำไปสู่การเพิ่มยอดขายได้อย่างเห็นผล แต่หลายคนอาจสงสัยว่าต่างจาก SMS อย่างไร deeSMSX จะมาอธิบายให้ได้เข้าใจกัน
ข้อความ MMS คืออะไร ทำไมถึงช่วยเพิ่มยอดขายได้จริง
MMS Marketing คือ รูปแบบการสื่อสารที่เหนือกว่าข้อความธรรมดา ด้วยความสามารถในการส่งข้อความที่มาพร้อมกับสื่อมัลติมีเดีย ทำให้แบรนด์สามารถสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การนำเสนอข้อมูลผ่านภาพและเสียงช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้ดีกว่าข้อความธรรมดา
MMS ย่อมาจากอะไร และมีบทบาทอย่างไรในโลกการตลาด
MMS ย่อมาจาก Multimedia Messaging Service คือบริการส่งข้อความแบบมัลติมีเดียที่สามารถส่งได้ทั้งรูปภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว และวิดีโอ ไปพร้อมกับข้อความ ในแวดวงการตลาด MMS ช่วยให้แบรนด์สามารถสื่อสารได้มากกว่าตัวอักษร ทำให้สามารถนำเสนอสินค้าหรือบริการได้อย่างมีมิติ ครบถ้วน และน่าสนใจ
ข้อมูลจากการวิจัยพบว่า MMS มีอัตราการเปิดอ่านสูงถึง 98% ภายในไม่กี่นาทีหลังจากที่ส่งไป ซึ่งสูงกว่าอีเมลหรือแม้แต่โซเชียลมีเดีย ทำให้ MMS ย่อมาจาก Multimedia Messaging Service กลายเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
ความต่างของ MMS และ SMS เลือกแบบไหนถึงเจาะกลุ่มได้ดี
ถึงแม้ว่า MMS และ SMS จะเป็นการทำการตลาดในรูปแบบข้อความเหมือนกัน แต่มีความแตกต่างกันที่สำคัญ ดังนี้
- SMS (Short Message Service) ส่งได้เฉพาะข้อความตัวอักษร จำกัดที่ 160 ตัวอักษรต่อข้อความ และอาจแนบลิงก์ได้
- MMS (Multimedia Messaging Service) สามารถส่งได้ทั้งข้อความ รูปภาพ เสียง และวิดีโอ ทำให้การนำเสนอข้อมูลมีความน่าสนใจมากกว่า
การเลือกระหว่าง MMS และ SMS ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และกลุ่มเป้าหมาย หากต้องการเจาะกลุ่มที่ต้องการเห็นภาพประกอบหรือต้องการนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อน MMS จะมีประสิทธิภาพมากกว่า แต่หากต้องการส่งข้อความอย่างรวดเร็วและตรงประเด็น SMS อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
จุดแข็งของ MMS ที่ช่วยให้แบรนด์เพิ่ม Conversion ได้มากขึ้น
ข้อความ MMS มีจุดแข็งหลายอย่างที่ช่วยเพิ่ม Conversion Rate ให้แบรนด์ เช่น
- ดึงดูดความสนใจได้มากกว่า : การใช้รูปภาพและวิดีโอช่วยให้ข้อความโดดเด่นและจดจำได้ง่าย
- นำเสนอรายละเอียดได้มากขึ้น : สามารถแสดงสินค้าหรือบริการได้ละเอียดกว่าการส่งข้อความธรรมดา
- สร้างความน่าเชื่อถือ : การส่งเนื้อหาคุณภาพสูงช่วยเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์
- เพิ่มอัตราการตอบสนอง : ข้อความที่มีองค์ประกอบหลากหลายมีแนวโน้มที่จะได้รับการตอบสนองมากกว่า
ตัวอย่างความสำเร็จในการใช้ MMS คือแคมเปญของแบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำแห่งหนึ่งที่ใช้การส่ง MMS เพื่อโปรโมทคอลเลกชันใหม่ โดยส่งภาพก่อน-หลังการใช้ผลิตภัณฑ์ พร้อมวิดีโอสั้น ๆ สาธิตวิธีการใช้ ทำให้ยอดขายในช่วงเปิดตัวเพิ่มขึ้นถึง 35% เมื่อเทียบกับการเปิดตัวคอลเลกชันก่อนหน้าที่ใช้เพียงการส่ง SMS ธรรมดา
กลยุทธ์การทำ MMS Marketing เพื่อเพิ่มยอดขายอย่างยั่งยืน
การวางแผนกลยุทธ์ MMS Marketing ที่มีประสิทธิภาพต้องคำนึงถึงการสร้างคอนเทนต์ที่น่าสนใจ การเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม และการส่งข้อความในจังหวะเวลาที่ถูกต้อง การติดตามผลอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ปรับกลยุทธ์ได้อย่างทันท่วงที เพื่อการเติบโตของยอดขายที่ยั่งยืน
การสร้างคอนเทนต์ MMS ที่ดึงดูดให้คนซื้อ
การสร้างคอนเทนต์ MMS ที่มีประสิทธิภาพต้องคำนึงถึงองค์ประกอบสำคัญต่าง ๆ ดังนี้
- รูปภาพ : ใช้ภาพคุณภาพสูงที่แสดงให้เห็นสินค้าหรือบริการอย่างชัดเจน ภาพควรมีความคมชัด สีสันสดใส และสื่อถึงคุณค่าของสินค้า
- วิดีโอ : สร้างวิดีโอสั้น ๆ ที่นำเสนอวิธีการใช้งาน ประโยชน์ หรือเรื่องราวของสินค้า วิดีโอสาธิตสินค้าจะช่วยให้ลูกค้าเห็นภาพการใช้งานจริงและเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อ
- เสียง : ในบางกรณี การแนบเสียงที่เป็นเอกลักษณ์หรือเสียงโฆษณาที่น่าจดจำจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับข้อความ
- ข้อความชวนกระตุ้น (Call-to-Action) : เพิ่ม CTA ที่ชัดเจนเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าดำเนินการต่อ เช่น “กดสั่งซื้อตอนนี้” “โทรเพื่อรับส่วนลด” หรือ “คลิกเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม”
รู้จักกลุ่มเป้าหมายและการส่งข้อความที่ “ตรงจุด”
การรู้จักกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซึ้งเป็นกุญแจสำคัญในการทำ MMS Marketing ให้ประสบความสำเร็จ การแบ่งกลุ่มลูกค้า (Customer Segmentation) ช่วยให้สามารถส่งข้อความที่ตรงกับความต้องการและความสนใจของแต่ละกลุ่มได้อย่างแม่นยำ ดังนี้
- การแบ่งตามข้อมูลประชากร : แยกกลุ่มตามอายุ เพศ รายได้ หรือที่อยู่อาศัย เพื่อปรับเนื้อหาให้ตรงกับไลฟ์สไตล์และความต้องการของแต่ละกลุ่ม
- การแบ่งตามพฤติกรรม : วิเคราะห์ประวัติการซื้อ ความถี่ในการซื้อ หรือสินค้าที่สนใจ เพื่อส่งข้อเสนอที่เหมาะสม
- การแบ่งตามความภักดี : แยกลูกค้าตามระดับความภักดีต่อแบรนด์ เพื่อสร้างข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าที่มีความภักดีสูง
จังหวะเวลาในการส่ง MMS ที่ช่วยเร่งยอดขาย
การเลือกจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการส่ง MMS มีผลต่อประสิทธิภาพของแคมเปญและยอดขายอย่างมาก การส่งข้อความในช่วงเวลาที่ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะเปิดอ่าน และตอบสนองมากที่สุดจะช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย
- วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า : ศึกษาว่าลูกค้ามักเปิดอ่านข้อความในช่วงเวลาใด วันไหนของสัปดาห์ที่มีอัตราการตอบสนองสูงที่สุด
- เลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม : หลีกเลี่ยงการส่งข้อความในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม เช่น ดึกเกินไป หรือช่วงที่ลูกค้ากำลังยุ่ง โดยทั่วไป ช่วงเวลา 10.00-12.00 น. และ 17.00-20.00 น. มักเป็นช่วงที่มีอัตราการเปิดอ่านสูง
- ใช้กลยุทธ์การส่งตามเหตุการณ์ : ส่ง MMS ในโอกาสพิเศษ เช่น วันเกิด วันครบรอบ หรือเทศกาลต่างๆ เพื่อสร้างความรู้สึกว่าแบรนด์ให้ความสำคัญกับลูกค้า
- ส่งตามขั้นตอนการซื้อ : ตั้งเวลาส่ง MMS ตามขั้นตอนการซื้อสินค้า เช่น หลังจากลูกค้าดูสินค้าแต่ไม่ได้ซื้อ ซึ่งอาจช่วยกระตุ้นให้กลับมาซื้อได้
จะเห็นได้ว่า MMS คือสิ่งที่ตอบโจทย์การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีไม่แพ้ SMS โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องใช้รูปลักษณ์สินค้าในการดึงดูด และสำหรับใครที่กำลังมองหาบริการส่ง MMS หรือ SMS แบบครบวงจร deeSMSX คือผู้ให้บริการส่งข้อความ SMS ที่ถูกที่สุดในไทย ในราคาเริ่มต้นที่ 0.15 บาท / ข้อความ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 02-095-5168 Line @deecom หรือ เฟซบุ๊ก deeSMSX
by Anga Team | 16 Apr 2025 | General
การขายของออนไลน์เป็นช่องทางที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากเริ่มต้นง่าย ใช้ทุนต่ำ และสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างกว้างขวาง แต่การจะประสบความสำเร็จนั้นจำเป็นต้องมีกลยุทธ์และวิธีการที่เหมาะสม ใครที่อยากจะเริ่มต้นขายของออนไลน์ แต่ยังไม่รู้ว่ามีวิธีขายของออนไลน์ดี ๆ อะไรบ้างที่ควรปรับใช้ deeSMSX มีเคล็ดลับดี ๆ มาฝากทุกคนที่อยากเริ่มต้นกัน
8 วิธีขายของออนไลน์สำหรับมือใหม่ ทำอย่างไรให้ยอดปัง
ในโลกของการค้าออนไลน์ที่มีการแข่งขันสูง การเริ่มต้นขายของออนไลน์จำเป็นต้องมีแผนการที่ชัดเจนและวิธีการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถแข่งขันและสร้างรายได้ได้อย่างยั่งยืน ต่อไปนี้คือ 8 วิธีขายของออนไลน์ที่จะช่วยให้มือใหม่สามารถเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์และทำให้ยอดขายพุ่งสูงได้
1. สร้างเอกลักษณ์แบรนด์ให้แตกต่าง
การสร้างเอกลักษณ์ให้กับร้านค้าออนไลน์เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ลูกค้าจดจำและกลับมาซื้อซ้ำ เริ่มจากการตั้งชื่อร้านที่จดจำง่าย ออกแบบโลโก้ที่มีความโดดเด่น และกำหนดธีมสีหรือรูปแบบการนำเสนอที่เป็นเอกลักษณ์ของร้าน นอกจากนี้ควรพิจารณาว่าอะไรที่จะทำให้ร้านของคุณโดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่ง อาจเป็นคุณภาพของสินค้า บริการพิเศษ หรือเรื่องราวเบื้องหลังแบรนด์ที่น่าสนใจ การมีเอกลักษณ์ชัดเจนจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจจากลูกค้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มยอดขายในระยะยาว
2. การสร้างคอนเทนต์ที่ดึงดูดและมีคุณค่า
คอนเทนต์ที่มีคุณภาพเป็นเครื่องมือสำคัญในการดึงดูดลูกค้าและสร้างการมีส่วนร่วม ควรสร้างคอนเทนต์ที่ไม่เพียงแค่นำเสนอสินค้า แต่ยังให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ลูกค้าด้วย เช่น บทความที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์ วิดีโอสาธิตการใช้งาน หรือเคล็ดลับที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของคุณ การใช้ภาพถ่ายที่มีคุณภาพสูงและคำอธิบายสินค้าที่ชัดเจนจะช่วยให้ลูกค้าเข้าใจสินค้าได้ดียิ่งขึ้น การอัปเดตคอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มโอกาสในการมองเห็นจากกลุ่มเป้าหมายและรักษาความสนใจของลูกค้าปัจจุบัน
3. ใช้โปรโมชั่นและข้อเสนอพิเศษกระตุ้นการตัดสินใจ
โปรโมชั่นและข้อเสนอพิเศษเป็นวิธีการกระตุ้นยอดขายที่มีวิธีขายของออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นธุรกิจที่ต้องการให้คนรู้จักร้านมากขึ้น การจัดโปรโมชั่นที่น่าสนใจ เช่น ส่วนลดสำหรับลูกค้าใหม่ โปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 หรือการจัดส่งฟรีเมื่อซื้อครบตามกำหนด จะช่วยดึงดูดให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ การจัดทำโปรแกรมสะสมแต้มหรือให้ส่วนลดสำหรับการซื้อซ้ำจะช่วยรักษาฐานลูกค้าและสร้างความจงรักภักดีต่อแบรนด์ ควรวางแผนโปรโมชั่นให้สอดคล้องกับเทศกาลหรือช่วงเวลาสำคัญเพื่อเพิ่มโอกาสในการขาย
4. ใช้ SMS Marketing ในการกระตุ้นยอดขาย
การใช้ SMS Marketing เป็นอีกหนึ่งวิธีขายของออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงลูกค้าโดยตรง ข้อความสั้นมีอัตราการเปิดอ่านสูงถึง 98% ภายใน 3 นาทีแรกที่ได้รับ ทำให้เป็นช่องทางที่เหมาะสำหรับการแจ้งข้อมูลโปรโมชั่น สินค้าใหม่ หรือข้อเสนอพิเศษเฉพาะบุคคล การส่ง SMS ที่ได้รับการปรับแต่งให้เหมาะกับความสนใจของลูกค้าแต่ละราย จะช่วยเพิ่มโอกาสในการตอบสนองและนำไปสู่การซื้อ ควรวางแผนการส่ง SMS ให้เหมาะสมทั้งในแง่ของความถี่และเวลาที่ส่ง เพื่อไม่ให้ลูกค้ารู้สึกว่าถูกรบกวนมากเกินไป
5. ให้บริการด้วยความจริงใจและรวดเร็ว
การบริการลูกค้าที่ดีเป็นหัวใจสำคัญของการทำวิธีขายของออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จ ต้องให้ความสำคัญกับการตอบคำถามและแก้ไขปัญหาของลูกค้าอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ การตอบแชทหรืออีเมลอย่างทันท่วงทีแสดงถึงความใส่ใจและความเอาใจใส่ต่อลูกค้า ควรฝึกอบรมทีมงานให้มีความรู้เกี่ยวกับสินค้าอย่างละเอียดและมีทักษะในการสื่อสารที่ดี การรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากลูกค้าเพื่อนำมาปรับปรุงบริการจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและความไว้วางใจในระยะยาว ประสบการณ์ที่ดีของลูกค้าจะนำไปสู่การบอกต่อและการกลับมาซื้อซ้ำ
6. ทำการตลาดผ่านหลายแพลตฟอร์มเพื่อเพิ่มการมองเห็น
การใช้หลายแพลตฟอร์มในการทำการตลาดเป็นกลยุทธ์ที่มีวิธีขายของออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในปัจจุบันมีช่องทางออนไลน์มากมายที่สามารถใช้ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย เช่น Facebook, Instagram, Tiktok หรือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Shopee และ Lazada การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายจะช่วยให้คุณเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมที่สุด แต่ละแพลตฟอร์มมีจุดเด่นและข้อจำกัดต่างกัน การวางแผนการตลาดที่ผสมผสานระหว่างแพลตฟอร์มจะช่วยเพิ่มการมองเห็นและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายมากขึ้น
7. ใช้รีวิวจากลูกค้าเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
รีวิวจากลูกค้าเป็นเครื่องมือทรงพลังในการสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจให้กับวิธีขายของออนไลน์ ผู้บริโภคมักจะค้นหาและอ่านรีวิวก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า โดยเฉพาะกับร้านค้าที่ไม่เคยซื้อมาก่อน ควรส่งเสริมให้ลูกค้าที่พึงพอใจแสดงความคิดเห็นและให้คะแนนสินค้า อาจมีการเสนอส่วนลดหรือของรางวัลเล็กๆ น้อยๆ เพื่อกระตุ้นการรีวิว การแสดงรีวิวเชิงบวกบนเว็บไซต์หรือหน้าร้านในโซเชียลมีเดียจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าใหม่ นอกจากนี้ ควรใช้ข้อเสนอแนะจากรีวิวเชิงลบเพื่อปรับปรุงสินค้าและบริการให้ดียิ่งขึ้น
8. ติดตามผลและปรับปรุงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง
ความสำเร็จในการขายของออนไลน์ไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่ต้องอาศัยการติดตามผลและปรับปรุงวิธีขายของออนไลน์อย่างต่อเนื่อง ควรใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อติดตามประสิทธิภาพของการตลาดและยอดขาย เช่น จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ อัตราการคลิก อัตราการแปลงเป็นลูกค้า และรายได้เฉลี่ยต่อคำสั่งซื้อ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าและพบจุดที่ต้องปรับปรุง ควรทดลองกลยุทธ์การตลาดและโปรโมชั่นใหม่ๆ เพื่อค้นหาวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ การเรียนรู้และปรับตัวตามแนวโน้มตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงจะช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนและทั้งหมดนี้ ก็เป็นวิธีขายของออนไลน์ที่ดี และเหมาะสำหรับคนที่อยากเริ่มต้นขายของออนไลน์ สำหรับใครที่กำลังมองหาผู้ช่วยทางการตลาดอย่าง SMS Marketing เพื่อใช่ส่งข่าวสาร แจ้งโปรโมชัน หรืออัปเดตสินค้าใหม่ deeSMSX คือผู้ให้บริการส่ง SMS ที่ถูกที่สุดในไทย ในค่าบริการเริ่มต้นที่ 0.15 บาท / ข้อความ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 02-095-5168 Line @deecom หรือ เฟซบุ๊ก deeSMSX
by Anga Team | 16 Apr 2025 | General
การแข่งขันทางธุรกิจที่สูงขึ้นทำให้ Marketing Automation กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่หลายธุรกิจเลือกใช้ เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถส่งข้อความที่เหมาะสมไปยังลูกค้าแต่ละคน ลดงานที่ต้องทำซ้ำๆ และเพิ่มโอกาสในการขาย วันนี้ deeSMSX จะพาคุณทำความเข้าใจว่า Marketing Automation คืออะไร มีข้อดีอย่างไร แตกต่างจาก Digital Marketing อย่างไร และทำไมจึงเป็นเทรนด์ที่ธุรกิจทั่วโลกกำลังให้ความสนใจ
Marketing Automation คืออะไร
Marketing Automation คือ การใช้ซอฟต์แวร์หรือเทคโนโลยีเพื่อทำงานการตลาดแบบอัตโนมัติ ช่วยจัดการกลุ่มเป้าหมาย วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า และตั้งค่าการทำงานตามเงื่อนไขที่กำหนดล่วงหน้า เช่น ส่งอีเมลต้อนรับลูกค้าใหม่ หรือข้อความแจ้งเตือนลูกค้าที่ทิ้งสินค้าในตะกร้า ช่วยลดงานซ้ำซากและเพิ่มประสิทธิภาพการทำการตลาด
ทำความเข้าใจข้อดีของ Marketing Automation
การใช้ Marketing Automation มีข้อดีมากมายที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถทำการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป รูปแบบการใช้ชีวิตที่พึ่งพาดิจิทัลมากขึ้น ประกอบกับการแข่งขันทางธุรกิจที่เข้มข้น Marketing Automation จึงสร้างประโยชน์ทั้งต่อการทำธุรกิจและผู้ใช้งาน ดังนี้
ประหยัดเวลาและทรัพยากร
Marketing Automation ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ช่วยลดภาระงานที่ซ้ำซาก และไม่จำเป็น ทำให้ทีมงานมีเวลามากขึ้นสำหรับการวางแผนกลยุทธ์ และสร้างกิจกรรมทางการตลาดที่สร้างสรรค์
ตัวอย่างเช่น การใช้ Chatbot ในการโต้ตอบกับลูกค้าเบื้องต้น ช่วยลดภาระงานของทีมบริการลูกค้า และทำให้ลูกค้าได้รับการตอบสนองทันที ไม่ต้องรอเจ้าหน้าที่ว่าง ส่งผลให้ธุรกิจสามารถลดต้นทุนด้านบุคลากร และใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ส่งมอบประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัว
Marketing Automation ช่วยในการสร้างเนื้อหา (Content) ที่ปรับเปลี่ยนไปตามพฤติกรรมและความสนใจของผู้ใช้แต่ละราย ทำให้สามารถส่งข้อความที่เหมาะสมไปยังลูกค้าแต่ละคน ในเวลาที่เหมาะสม
ตัวอย่างเช่น อีเมลมาร์เก็ตติงที่ส่งโปรโมชันสินค้าที่ลูกค้าเคยดู หรือการปรับหน้าเนื้อหาเว็บไซต์ให้ตรงกับความสนใจของผู้ใช้คนนั้นๆ ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ส่งผลให้มีความภักดีต่อแบรนด์มากขึ้น
เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการแคมเปญ
Marketing Automation ช่วยให้สามารถบริหารจัดการแคมเปญการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการวิเคราะห์ที่ดีขึ้น ธุรกิจสามารถเข้าถึงข้อมูลและวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า ช่วยให้เข้าใจและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ ยังสามารถทำ A/B Testing เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของแคมเปญต่างๆ และปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง เช่น การทดสอบหัวข้ออีเมลแบบต่างๆ เพื่อดูว่าแบบไหนได้รับการเปิดอ่านมากที่สุด
เพิ่มโอกาสสร้างยอดขาย
Marketing Automation ช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย ด้วยการตอบสนองที่รวดเร็ว แม่นยำ ตรงตามความต้องการของลูกค้า จึงเป็นการเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนแปลงจากผู้ใช้ (User) ให้กลายเป็นลูกค้า (Customer) ได้มากขึ้น
เช่น การส่งอีเมลติดตามอัตโนมัติเมื่อลูกค้าทิ้งสินค้าไว้ในตะกร้า อาจมอบส่วนลดพิเศษเพื่อกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อ หรือการแนะนำสินค้าเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่ลูกค้าเคยซื้อ ช่วยเพิ่มมูลค่าการขายต่อครั้งได้
รองรับการเติบโตของธุรกิจ
Marketing Automation เป็นระบบที่สามารถขยายขนาดได้ตามการเติบโตของธุรกิจ ไม่ว่าจะมีลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากเท่าใด ระบบก็สามารถรองรับได้โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มบุคลากรตามสัดส่วน
นอกจากนี้ Marketing Automation ยังช่วยในการเรียนรู้และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ด้วยการพัฒนาของ Machine Learning การเก็บข้อมูลลูกค้าที่มีระบบ ทำให้ธุรกิจสามารถสร้างความเข้าใจ ปรับปรุงกิจกรรมทางการตลาด และเรียนรู้พฤติกรรมของลูกค้า แล้วนำมาเสริมสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ Marketing Automation ในธุรกิจ
หลายธุรกิจได้นำ Marketing Automation มาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำการตลาดและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน มาดูตัวอย่างการประยุกต์ใช้งานจริงกัน
- Starbucks ใช้ข้อมูลจากแอปพลิเคชันเพื่อติดตามพฤติกรรมการซื้อของลูกค้า จากนั้นนำมาวิเคราะห์และส่งโปรโมชันเฉพาะบุคคล เช่น ส่วนลดสำหรับเครื่องดื่มที่ลูกค้าชอบสั่งประจำ หรือแนะนำเมนูใหม่ที่น่าจะถูกใจตามรสนิยมเครื่องดื่มที่เคยสั่ง นอกจากนี้ ยังมีการส่งข้อความแจ้งเตือนเมื่อลูกค้าอยู่ใกล้สาขา พร้อมโปรโมชันเฉพาะวันนั้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อ
- Amazon ใช้ระบบแนะนำสินค้าอัตโนมัติที่ซับซ้อน โดยวิเคราะห์จากประวัติการเรียกดู การค้นหา และประวัติการซื้อสินค้า เพื่อแสดงรายการ “สินค้าที่คุณอาจสนใจ” และ “ลูกค้าที่ซื้อสินค้านี้มักจะซื้อ…” นอกจากนี้ ยังมีระบบส่งอีเมลติดตามสินค้าในตะกร้าที่ยังไม่ได้ชำระเงิน พร้อมข้อเสนอพิเศษ และส่งอีเมลแจ้งเตือนเมื่อสินค้าที่เคยดูมีการลดราคา หรือเมื่อสินค้าที่เคยหมดสต๊อกกลับมาพร้อมจำหน่ายอีกครั้ง
- Sephora ใช้ระบบสมาชิก Beauty Insider ที่เก็บข้อมูลลูกค้าอย่างละเอียด ทั้งโทนสีผิว ปัญหาผิว และประวัติการซื้อผลิตภัณฑ์ เพื่อส่งข้อเสนอพิเศษในวันเกิด และแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผู้ใช้แต่ละคน รวมถึงส่งเทคนิคการแต่งหน้าและการดูแลผิวที่เหมาะกับลูกค้าแต่ละราย นอกจากนี้ ยังมีการส่งอีเมลแจ้งเตือนเมื่อผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าเคยซื้อกำลังจะหมด พร้อมลิงก์สั่งซื้อซ้ำได้ทันที ช่วยอำนวยความสะดวกและกระตุ้นยอดขายไปพร้อมกัน
ความต่างของ Marketing Automation กับ Digital Marketing
Digital Marketing คือการทำการตลาดผ่านช่องทางดิจิทัลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ สื่อสังคมออนไลน์ การค้นหาบนเครื่องมือค้นหา การตลาดเนื้อหา และการโฆษณาออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ เป็นแนวคิดการตลาดที่กว้างและครอบคลุมเครื่องมือดิจิทัลทั้งหมด มุ่งเน้นการสร้างการรับรู้และปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย และอาจรวมถึงการทำงานด้วยมือในบางส่วน เช่น การสร้างเนื้อหา การออกแบบโฆษณา และการวางแผนแคมเปญ
ในขณะที่ Marketing Automation เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ Digital Marketing ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีเพื่อทำให้ขั้นตอนการทำการตลาดเป็นอัตโนมัติ เพื่อลดงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำการตลาดแบบอัตโนมัติเพื่อจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า และนำลูกค้าไปสู่การตัดสินใจซื้อ
ควรเลือกแนวทางทำการตลาดแบบไหนดีกว่ากัน
ในความเป็นจริง Digital Marketing และ Marketing Automation ควรทำงานควบคู่กันไป โดย Digital Marketing จะช่วยสร้างการรับรู้ ดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย และสร้างปฏิสัมพันธ์กับพวกเขา ในขณะที่ Marketing Automation จะช่วยจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า นำลูกค้าไปสู่การตัดสินใจซื้อ และรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว ซึ่งธุรกิจขนาดเล็กที่มีทรัพยากรจำกัด อาจเริ่มต้นด้วยการทำ Digital Marketing ก่อน เพื่อสร้างการรับรู้และดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย แล้วค่อย ๆ เพิ่ม Marketing Automation เข้ามาเมื่อธุรกิจเติบโตขึ้นและมีฐานลูกค้ามากขึ้นเพื่อลดต้นทุนในการดำเนินงาน
จะเห็นได้ว่า Marketing Automation คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถสื่อสาร และบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจสูงอย่างปัจจุบัน ซึ่งทาง deeSMSX ก็มีบริการ SMS Marekting ที่พร้อมส่งข้อความอัตโนมัติให้กลุ่มเป้าหมาย โดยมีแพ็กเกจเริ่มต้นที่เหมาะสมกับทุกขนาดธุรกิจ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 02-095-5168 Line @deecom หรือ เฟซบุ๊ก deeSMSX
by Anga Team | 29 Mar 2025 | General
การตัดสินใจเลือกบริการส่ง SMS ที่เหมาะกับธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการสื่อสารผ่าน SMS ยังคงเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงลูกค้าได้อย่างตรงจุด แต่หลายคนอาจสงสัยว่าจะเลือก SMS เจ้าไหนดี ไม่รู้ว่าต้องเปรียบเทียบอย่างไร วันนี้ deeSMSX มีข้อมูลดี ๆ มาฝากกัน
ทำไมการเลือกบริการ SMS เจ้าไหนดีถึงสำคัญกว่าที่คิด
การเลือกผู้ให้บริการ SMS ที่เหมาะสมส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการสื่อสารกับลูกค้า ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ และต้นทุนทางการตลาดในระยะยาว การพิจารณาว่า SMS เจ้าไหนดี จึงควรคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
- เพิ่มอัตราการเปิดอ่านข้อความ : บริการ SMS ที่มีคุณภาพจะช่วยให้ข้อความถูกส่งถึงผู้รับอย่างรวดเร็วและแม่นยำ โดยมีอัตราการเปิดอ่านสูงถึง 98% ภายใน 3 นาทีแรกที่ได้รับข้อความ จึงเป็นช่องทางที่ทรงประสิทธิภาพในการสื่อสารข้อมูลเร่งด่วน
- ประหยัดต้นทุนการตลาด : การเลือกบริการ SMS ที่มีราคาเหมาะสมและแพ็กเกจที่ตอบโจทย์ความต้องการจะช่วยให้ธุรกิจสามารถควบคุมงบประมาณการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดต้นทุนต่อหน่วยในการเข้าถึงลูกค้าเมื่อเทียบกับช่องทางอื่น
- สร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ : บริการ SMS ที่มีความเสถียรและน่าเชื่อถือจะช่วยเสริมภาพลักษณ์องค์กรให้ดูมืออาชีพ เพราะข้อความที่ส่งตรงเวลาและไม่มีปัญหาจะสร้างความประทับใจและความไว้วางใจจากลูกค้า
4 ปัจจัยพิจารณาที่ต้องรู้ ก่อนเลือกบริการ SMS เจ้าไหนดี
ก่อนตัดสินใจว่า SMS เจ้าไหนดีที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ ควรพิจารณาปัจจัยสำคัญ 4 ข้อนี้ ที่จะช่วยให้คุณเลือกบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างครบถ้วน โดยแต่ละปัจจัยมีความสำคัญที่แตกต่างกันออกไป
1. ราคาที่ถูกและคุ้มค่า
ราคาเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ที่ธุรกิจต้องพิจารณา แต่ไม่ควรมองแค่ราคาถูกเพียงอย่างเดียว ควรเปรียบเทียบราคาต่อหน่วย แพ็กเกจที่เหมาะกับปริมาณการใช้งาน และเงื่อนไขพิเศษอื่นๆ เช่น ส่วนลดเมื่อซื้อจำนวนมาก หรือโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าประจำ
2. ความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการ
ประสบการณ์ในวงการและความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงคุณภาพได้เป็นอย่างดี ควรตรวจสอบประวัติบริษัท รีวิวจากลูกค้าเก่า และผลงานที่ผ่านมา รวมถึงมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล เพื่อให้มั่นใจว่าเลือก SMS เจ้าไหนดีที่สุด
3. ระบบที่เสถียรและใช้งานง่าย
ความเสถียรของระบบและความง่ายในการใช้งานเป็นปัจจัยที่มองข้ามไม่ได้ ผู้ให้บริการ SMS ที่ดีควรมีแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน มีฟีเจอร์ที่จำเป็นครบถ้วน เช่น การจัดการรายชื่อ การตั้งเวลาส่ง และการรายงานผล
4. การให้ความช่วยเหลือของผู้ให้บริการ
การสนับสนุนหลังการขายและความพร้อมในการแก้ไขปัญหาเป็นสิ่งสำคัญ ผู้ให้บริการ SMS ที่ดีควรมีทีมซัปพอร์ตที่พร้อมให้ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง มีช่องทางติดต่อที่หลากหลาย และมีคู่มือหรือบทความให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้งานอย่างครบถ้วน
deeSMSX บริการส่ง SMS ที่พร้อมตอบโจทย์ธุรกิจคุณในทุกแง่มุม
เมื่อพิจารณาจากปัจจัยทั้งหมดข้างต้น หากคุณกำลังมองหาคำตอบว่า SMS เจ้าไหนดีที่สุด deeSMSX อาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังค้นหา ด้วยบริการที่ครบวงจร ราคาที่แข่งขันได้ พร้อมระบบที่เสถียรและทีมงานมืออาชีพคอยช่วยเหลือ ทำให้การส่ง SMS เป็นเรื่องง่าย และมีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับธุรกิจของคุณ โดยมีค่าบริการเริ่มต้นที่ 0.15 บาท / ข้อความ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 02-095-5168 Line @deecom หรือ เฟซบุ๊ก deeSMSX