รวม 7 ข้อดีของบริการ SMS Solution ที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโต

รวม 7 ข้อดีของบริการ SMS Solution ที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโต

การสื่อสารที่มีประสิทธิผลคือหัวใจสำคัญของความสำเร็จทางธุรกิจ การเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว บริการ SMS Solution เป็นหนึ่งในเครื่องมือการสื่อสารที่ทรงพลังที่สุดในปัจจุบัน ด้วยอัตราการเปิดอ่านที่สูง จึงทำให้เปลี่ยนเป็นยอดขายได้จริง วันนี้ deeSMSX จะพามาดูข้อดีที่ห้ามพลาดกัน

บริการ SMS Solution คืออะไร

บริการ SMS Solution คือ ระบบการส่งข้อความสั้น (SMS) ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการทางธุรกิจโดยเฉพาะ ระบบนี้ช่วยให้องค์กรสามารถส่งข้อความไปยังกลุ่มลูกค้าจำนวนมากได้พร้อมกันอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดย SMS Solution จะประกอบด้วยเครื่องมือและฟีเจอร์ต่างๆ ที่ช่วยให้การบริหารจัดการแคมเปญการตลาดผ่าน บริการ SMS เป็นไปอย่างมีระบบ

เทคโนโลยีของ บริการ SMS ทำงานโดยการเชื่อมต่อระบบของธุรกิจเข้ากับเครือข่ายโทรศัพท์มือถือผ่าน SMS Gateway ทำให้สามารถส่งข้อความไปยังโทรศัพท์มือถือของผู้รับได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งแอปพลิเคชันเพิ่มเติม ทำให้ SMS Solution เป็นช่องทางการสื่อสารที่เข้าถึงผู้รับได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ในพื้นที่ที่สัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่เสถียรก็ตาม

รู้จัก 7 ข้อดีของการเลือกใช้บริการ SMS Solution

รู้จัก 7 ข้อดีของการเลือกใช้บริการ SMS Solution

การนำบริการ SMS Solution มาประยุกต์ใช้ในกลยุทธ์การตลาดและการสื่อสารของธุรกิจนั้นมีข้อดีมากมาย ด้วยความรวดเร็วและความแม่นยำในการส่งข้อความ ทำให้ SMS Solution เป็นเครื่องมือที่มีพลังในการผลักดันให้ธุรกิจเติบโตแบบก้าวกระโดด มาดูกันว่าข้อดีที่สำคัญของ บริการ SMS มีอะไรบ้าง

1. เข้าถึงลูกค้าได้ทันที

บริการ SMS Solution ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ลูกค้าเปิดอีเมลหรือแอปพลิเคชัน ข้อความจะปรากฏบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของลูกค้าทันที โดยมีอัตราการเปิดอ่านสูงถึง 98% ภายในเวลา 3 นาที ซึ่งสูงกว่าอีเมลมาร์เก็ตติงที่มีอัตราการเปิดอ่านเพียง 20% เท่านั้น บริการ SMS สามารถเข้าถึงลูกค้าได้แม้ในขณะที่ไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ทำให้ไม่พลาดโอกาสสำคัญทางธุรกิจ

2. เพิ่มโอกาสในการปิดการขาย

ด้วยความรวดเร็วในการส่งและรับข้อมูล บริการ SMS Solution จึงเป็นเครื่องมือที่เหมาะสำหรับการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้า การส่งข้อความแจ้งโปรโมชันพิเศษที่มีระยะเวลาจำกัด หรือแจ้งเตือนสินค้าใกล้หมดสต๊อก สร้างความรู้สึกเร่งด่วนและกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อทันที การส่งข้อความแจ้งเตือนอย่างตรงเวลาด้วยบริการ SMS จะช่วยเพิ่มอัตราการกลับมาซื้อสินค้าได้สูงเมื่อเทียบกับการไม่ติดตามเลย

3. ลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณา

เมื่อเทียบกับช่องทางการตลาดแบบดั้งเดิม เช่น การโฆษณาทางโทรทัศน์ วิทยุ หรือป้ายโฆษณา บริการ SMS Solution มีต้นทุนที่ต่ำกว่ามาก โดยค่าใช้จ่ายในการส่ง SMS หนึ่งข้อความมีราคาเพียงไม่กี่สตางค์เท่านั้น แต่ให้ผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ที่สูง ในบางอุตสาหกรรม การใช้บริการส่ง SMS ยังช่วยลดต้นทุนด้านทรัพยากรบุคคล เนื่องจากระบบทำงานได้โดยอัตโนมัติ ทำให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรงและลดการสูญเสียงบประมาณ

4. สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้า

4. สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้า

การส่งข้อความที่เป็นส่วนตัวและตรงประเด็นผ่านบริการ SMS Solution ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้า การส่งข้อความอวยพรวันเกิด ข้อเสนอพิเศษในโอกาสสำคัญ หรือการขอบคุณหลังการซื้อสินค้า ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับความใส่ใจจากแบรนด์ บริการ SMS ช่วยให้ธุรกิจสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างสม่ำเสมอโดยไม่รบกวนมากเกินไป เพราะข้อความมีความกระชับและตรงประเด็น ซึ่งจะนำไปสู่ความภักดีต่อแบรนด์ในระยะยาว

5. ปรับแต่งข้อความให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละกลุ่ม

บริการ SMS Solution มีฟีเจอร์ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับแต่งข้อความให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างแม่นยำ ด้วยการใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลลูกค้า ทั้งประวัติการซื้อสินค้า พฤติกรรมการใช้บริการ หรือข้อมูลประชากรศาสตร์ การปรับแต่งข้อความด้วย SMS Solution ไม่ได้จำกัดเพียงการใส่ชื่อลูกค้า แต่รวมถึงการปรับเปลี่ยนเนื้อหา โปรโมชัน และข้อเสนอพิเศษให้สอดคล้องกับความต้องการ ทำให้ บริการ SMS มีอัตราการตอบสนองจากลูกค้าเพิ่มขึ้นถึง 40%

6. เพิ่มการมีส่วนร่วมจากลูกค้าอย่างประสิทธิภาพ

บริการ SMS Solution เหมาะอย่างยิ่งในการสร้างการมีส่วนร่วมจากลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการส่งลิงก์เพื่อให้ลูกค้าร่วมตอบแบบสอบถาม เข้าร่วมกิจกรรมพิเศษ หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ใหม่ บริการ SMS ยังใช้จัดกิจกรรมโต้ตอบกับลูกค้า เช่น การโหวต การส่งรหัสเพื่อรับส่วนลด หรือการเข้าร่วมโปรแกรมสะสมแต้ม ซึ่งช่วยสร้างประสบการณ์ที่น่าสนใจและกระตุ้นการมีส่วนร่วม ข้อมูลที่ได้สามารถนำไปวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดต่อไปได้

7. การวิเคราะห์ผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำ

ข้อดีอีกอย่างของบริการ SMS Solution คือความสามารถในการวิเคราะห์ผลลัพธ์ของแคมเปญการตลาดได้อย่างแม่นยำ ระบบจะติดตามและรายงานข้อมูลสำคัญ เช่น อัตราการเปิดอ่าน อัตราการคลิกลิงก์ อัตราการตอบกลับ และอัตราการแปลงเป็นลูกค้า ทำให้ธุรกิจประเมินความสำเร็จได้ชัดเจน การใช้ SMS Solution ยังช่วยให้ธุรกิจทดสอบและปรับปรุงข้อความได้อย่างรวดเร็ว โดยการเปรียบเทียบผลลัพธ์ของข้อความที่แตกต่างกัน (A/B Testing) เพื่อหาวิธีการสื่อสารที่ดีที่สุด

จะเห็นได้ว่า บริการ SMS Solution เป็นการลงทุนที่เต็มไปด้วยความคุ้มค่า โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องการประหยัดงบการตลาด แต่ยังสามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเห็นผลอยู่ หากคุณสนใจบริการส่ง SMS แบบครบวงจร deeSMSX พร้อมตอบโจทย์คุณด้วยราคาเริ่มต้นที่ 0.15 บาท / ข้อความ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 02-095-5168 Line @deecom หรือ เฟซบุ๊ก deeSMSX

Whitelist คืออะไร ทำไมถึงสำคัญในการส่ง SMS ให้ถึงปลายทาง

Whitelist คืออะไร ทำไมถึงสำคัญในการส่ง SMS ให้ถึงปลายทาง

การส่งข้อความ SMS ถือเป็นช่องทางการสื่อสารที่ยังคงมีความสำคัญอย่างมากสำหรับธุรกิจในยุคดิจิทัล แต่ปัญหาหนึ่งที่หลายองค์กรต้องเผชิญคือ ข้อความไม่สามารถส่งถึงผู้รับปลายทางได้ สาเหตุสำคัญมาจากระบบป้องกันสแปมของเครือข่ายมือถือ Whitelist จึงเป็นทางออกที่ช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างตรงจุด วันนี้ deeSMSX จะมาอธิบายให้เข้าใจกันว่า การขอ Whitelist คืออะไร 

Whitelist คืออะไรในการส่งข้อความ SMS

Whitelist คือ การขออนุมัติจากเครือข่ายโทรศัพท์มือถือให้ SMS ที่ส่งจาก Sender Name หรือชื่อผู้ส่งของคุณ สามารถเข้าถึงผู้รับที่เคยแจ้งไว้ว่าไม่ต้องการรับข้อความได้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง Whitelist คือรายชื่อผู้ส่งที่ได้รับการยอมรับและเชื่อถือจากเครือข่ายว่าไม่ใช่ผู้ส่งสแปม จึงได้รับสิทธิพิเศษในการส่งข้อความถึงผู้รับได้มากกว่าปกติ

ทำไมต้องขอ Whitelist ก่อนส่ง SMS

จากสถิติพบว่า มากกว่า 70% ของ SMS ที่ไม่สามารถส่งถึงผู้รับได้นั้น มีสาเหตุมาจากการที่ผู้รับปลายทางเคยแจ้งให้เครือข่ายทราบว่าไม่ต้องการรับข้อความโฆษณาหรือข้อความรบกวน (Spam) ซึ่งส่งผลให้ข้อความของคุณถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “Anti-Spam” และไม่สามารถส่งถึงผู้รับได้

Whitelist ทำงานอย่างไร ทำไมช่วยให้ดูไม่เป็นสแปม

Whitelist ทำงานอย่างไร ทำไมช่วยให้ดูไม่เป็นสแปม

ขั้นตอนการทำงานของ Whitelist เกี่ยวข้องกับการที่เว็บส่ง SMS ต้องไปขออนุมัติจากเครือข่ายโทรศัพท์มือถือแต่ละเครือข่าย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ SMS ที่ส่งจาก Sender Name ของคุณสามารถเข้าถึงผู้รับที่เคยแจ้งไว้ว่าไม่ต้องการรับข้อความได้

เมื่อธุรกิจได้รับการอนุมัติให้อยู่ใน Whitelist แล้ว ระบบของเครือข่ายจะจดจำ Sender Name หรือหมายเลขที่ใช้ในการส่งข้อความ ทำให้ข้อความที่ส่งออกไปไม่ถูกจัดเป็นสแปมโดยอัตโนมัติ แม้ว่าจะส่งไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่เคยแจ้งไม่รับข้อความรบกวน

ข้อดีของการขอ Whitelist สำหรับธุรกิจ

การขอ Whitelist มีข้อดีที่สำคัญหลายอย่างสำหรับธุรกิจที่ใช้ SMS เป็นช่องทางในการสื่อสารกับลูกค้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลลัพธ์ของแคมเปญ SMS Marketing ได้อย่างมีนัยสำคัญ

1. ผ่านการรับรองเบื้องต้นจากเครือข่าย

เมื่อธุรกิจได้รับการอนุมัติให้อยู่ใน Whitelist แล้ว แสดงว่าได้ผ่านการตรวจสอบและรับรองจากเครือข่ายโทรศัพท์มือถือแล้วว่าเป็นผู้ส่งที่น่าเชื่อถือ ไม่ใช่ผู้ส่งสแปม ซึ่งจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ของคุณ

2. ลดปัญหา Anti-Spam

Whitelist คือวิธีการแก้ปัญหา Anti-Spam ที่มีประสิทธิภาพ เพราะช่วยให้ข้อความของคุณไม่ถูกจัดเป็นสแปมโดยอัตโนมัติ แม้ว่าจะส่งไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่เคยแจ้งไม่รับข้อความรบกวน ทำให้อัตราการส่งข้อความสำเร็จเพิ่มสูงขึ้น

3. เพิ่มโอกาสในการส่งถึงผู้รับ

การขอ Whitelist ช่วยเพิ่มโอกาสในการส่งข้อความถึงผู้รับได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เป็นข้อความสำคัญ ทำให้ธุรกิจสามารถสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

4. ใช้ระยะเวลาไม่นานในการขอ Whitelist

การขอ Whitelist ใช้เวลาไม่นาน ประมาณ 1-3 วันทำการ แต่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการส่ง SMS ได้ในระยะยาว ทำให้คุ้มค่ากับการลงทุนเวลาในการดำเนินการ

ข้อจำกัดของ Whitelist ที่ควรรู้

แม้ว่า Whitelist จะมีข้อดีหลายอย่าง แต่ก็มีข้อจำกัดบางอย่างที่ธุรกิจควรรับทราบก่อนตัดสินใจขอ Whitelist

1. ไม่ครอบคลุมการส่งข้อความประเภทโฆษณาและการตลาด

Whitelist คือการขออนุญาตสำหรับการส่งข้อความที่ไม่ใช่โฆษณาหรือการตลาด เช่น ข้อความแจ้งเตือน ข้อความยืนยันตัวตน หรือข้อความแจ้งข้อมูลสำคัญ หากธุรกิจต้องการส่งข้อความประเภทโฆษณาหรือการตลาด จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง

2. ต้องผ่านการอนุมัติจากเครือข่าย

การขอ Whitelist ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับการอนุมัติทุกครั้ง ธุรกิจจะต้องผ่านการตรวจสอบและประเมินจากเครือข่ายก่อน จึงจะได้รับอนุญาตให้อยู่ใน Whitelist ซึ่งอาจใช้เวลาและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

3. ต้องรักษามาตรฐานการส่งข้อความ

แม้ว่าธุรกิจจะได้รับการอนุมัติให้อยู่ใน Whitelist แล้ว แต่ก็ยังต้องรักษามาตรฐานการส่งข้อความให้อยู่ในเกณฑ์ที่เครือข่ายกำหนด หากมีการส่งข้อความที่เข้าข่ายเป็นสแปมหรือรบกวนผู้รับ อาจถูกถอดออกจาก Whitelist ได้

ขั้นตอนการขอ Whitelist เพื่อให้ SMS ถึงแน่นอน

ขั้นตอนการขอ Whitelist เพื่อให้ SMS ถึงแน่นอน

หากธุรกิจต้องการขอ Whitelist เพื่อเพิ่มโอกาสในการส่ง SMS ให้ถึงผู้รับมากขึ้น สามารถทำตามขั้นตอนง่าย ๆ 4 ขั้นตอนนี้ได้เลย

1. ซื้อแพ็กเกจ SMS ที่รองรับการขอ Whitelist

ขั้นตอนแรก ธุรกิจจะต้องเลือกซื้อแพ็กเกจ SMS ที่รองรับการขอ Whitelist จากผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือ พร้อมทั้งเริ่มต้นใช้งานและยืนยันตัวตนให้เรียบร้อย รวมถึงขอ Sender Name ที่ต้องการใช้ในการส่งข้อความ

2. กรอกแบบฟอร์ม Request

หลังจากซื้อแพ็กเกจแล้ว ธุรกิจจะต้องกรอกแบบฟอร์ม Request เพื่อขอ Whitelist โดยระบุรายละเอียดต่างๆ ตามที่ผู้ให้บริการกำหนด เช่น ชื่อธุรกิจ Sender Name ที่ต้องการใช้ ประเภทของข้อความที่จะส่ง เป็นต้น จากนั้นจะได้รับ Link สำหรับการขอ Whitelist ผ่านทางอีเมล

3. ระหว่างดำเนินการ

หลังจากส่งแบบฟอร์มแล้ว ผู้ให้บริการจะดำเนินการพิจารณาข้อมูลที่ธุรกิจยื่นเรื่องเข้ามา ซึ่งจะใช้ระยะเวลาประมาณ 1-3 วันทำการ ในระหว่างนี้ ธุรกิจอาจถูกขอข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณา

4. แจ้งอนุมัติใช้งาน

เมื่อการพิจารณาเสร็จสิ้นและได้รับการอนุมัติแล้ว ผู้ให้บริการจะแจ้งให้ธุรกิจทราบผ่านทางอีเมลหรือช่องทางที่ระบุไว้ในแบบฟอร์ม จากนั้นธุรกิจสามารถเริ่มต้นใช้งาน Whitelist ได้ทันที โดยข้อความที่ส่งออกไปจะมีโอกาสเข้าถึงผู้รับได้มากขึ้นและทั้งหมดนี้ ก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมการขอ Whitelist คือสิ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องการส่งข้อความให้ถึงลูกค้ามากที่สุด หากคุณกำลังมองหาผู้ให้บริการส่ง SMS ที่มีประสิทธิภาพ deeSMSX พร้อมให้บริการ SMS Marketing อย่างครบวงจร ในราคาที่ถูกที่สุดในไทย เริ่มต้นที่ 0.15 บาท / ข้อความ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 02-095-5168 Line @deecom หรือ เฟซบุ๊ก deeSMSX

ทำความเข้าใจ SMS SMPP และ SMS Gateway แตกต่างกันอย่างไร

ทำความเข้าใจ SMS SMPP และ SMS Gateway แตกต่างกันอย่างไร

การส่งข้อความสั้นหรือ SMS ยังคงเป็นช่องทางการสื่อสารที่มีความสำคัญสำหรับธุรกิจในปัจจุบัน แม้จะมีแพลตฟอร์มการสื่อสารใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่หนึ่งเรื่องที่หลายคนอาจยังไม่รู้ ก็คือ SMS Gateway และ SMS SMPP ที่เป็นโปรโตคอล สรุปแล้วมีความเกี่ยวข้องกันไหม ต้องเลือกใช้งานแบบไหนให้ตอบโจทย์ธุรกิจ วันนี้ deeSMSX เราจะมาอธิบายให้เอง 

ทำไมบริการส่ง SMS ถึงยังสำคัญกับธุรกิจ

การส่ง SMS ยังคงเป็นวิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิผลสูงสำหรับธุรกิจ เนื่องจากข้อความมีอัตราการเปิดอ่านสูงถึง 98% ภายใน 3 นาทีหลังจากได้รับ ซึ่งสูงกว่าช่องทางอื่น ๆ เช่น อีเมลหรือการแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชัน นอกจากนี้ การส่ง SMS ยังเข้าถึงผู้ใช้ได้กว้างขวาง ไม่จำเป็นต้องมีสมาร์ทโฟนหรือการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

ตัวอย่างที่ธุรกิจใช้บริการส่ง SMS 

  • การยืนยันตัวตนด้วย OTP
  • การแจ้งเตือนการทำธุรกรรม
  • การส่งข้อมูลโปรโมชัน
  • การแจ้งสถานะการจัดส่งสินค้า
  • การแจ้งเตือนการนัดหมาย

SMS Gateway คืออะไร

SMS Gateway คืออะไร

SMS Gateway คือ ระบบที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรับและส่งข้อความ SMS ระหว่างแอปพลิเคชันของธุรกิจกับเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ SMS Gateway ช่วยให้ธุรกิจสามารถส่งข้อความไปยังผู้รับจำนวนมากได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการเครือข่ายโดยตรง การใช้ SMS Gateway เป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกสำหรับธุรกิจที่ต้องการเริ่มต้นใช้บริการส่ง SMS อย่างรวดเร็ว

หลักการทำงานของ SMS Gateway

SMS Gateway ทำงานโดยรับข้อความจากระบบของธุรกิจผ่านช่องทางต่างๆ เช่น API, อีเมล หรือเว็บอินเทอร์เฟซ จากนั้นจะแปลงข้อความเหล่านั้นให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับการส่งผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ

เมื่อธุรกิจส่งคำขอส่ง SMS ผ่าน SMS Gateway ระบบจะดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้

  1. รับข้อมูลจากแอปพลิเคชันของธุรกิจ ซึ่งประกอบด้วยเบอร์ผู้รับและเนื้อหาข้อความ
  2. แปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสม
  3. เลือกเส้นทางการส่งที่เหมาะสมที่สุด (โดยพิจารณาจากเครือข่ายผู้รับ ต้นทุน และความเร็ว)
  4. ส่งข้อความไปยังเครือข่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ
  5. รับและรายงานสถานะการส่งกลับไปยังระบบของธุรกิจ

ข้อดีและข้อจำกัดของ SMS Gateway

ข้อดี

  • ง่ายต่อการใช้งานและการเริ่มต้น ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ทางเทคนิคมาก
  • มีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย บางครั้งมาพร้อมกับหน้าจัดการแบบกราฟิก
  • รองรับการส่ง SMS ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น การส่งตามกำหนดเวลา หรือการส่งเป็นกลุ่ม
  • ค่าใช้จ่ายในการเริ่มต้นต่ำ

ข้อจำกัด

  • มักมีความล่าช้าในการส่ง SMS มากกว่า SMPP โดยเฉพาะเมื่อส่งในปริมาณมาก
  • อาจมีข้อจำกัดในการรองรับการส่งข้อความจำนวนมากในเวลาเดียวกัน
  • ไม่เหมาะสำหรับการส่ง SMS ที่ต้องการความเร็วสูงและความน่าเชื่อถือสูง เช่น OTP
  • มักมีค่าใช้จ่ายต่อข้อความที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับการใช้ SMPP โดยตรง

SMS SMPP คืออะไร

SMS SMPP คืออะไร

SMS SMPP (Short Message Peer-to-Peer Protocol) คือโปรโตคอลมาตรฐานที่ใช้สำหรับการแลกเปลี่ยนข้อความ SMS ระหว่างระบบที่เกี่ยวข้องกับการส่งข้อความ เช่น SMSC (Short Message Service Center), ระบบการส่งข้อความของผู้ให้บริการ และแอปพลิเคชันของธุรกิจ การใช้ SMS SMPP เป็นการเชื่อมต่อโดยตรงกับผู้ให้บริการเครือข่ายหรือศูนย์บริการข้อความสั้น (SMSC) โดยไม่ผ่านตัวกลาง

หลักการทำงาน SMPP Protocol

SMPP Protocol ทำงานโดยการสร้างการเชื่อมต่อแบบ real-time ระหว่างระบบของธุรกิจกับ SMSC โดยมีขั้นตอน ดังนี้

  1. การเชื่อมต่อ (Bind) : ระบบของธุรกิจสร้างการเชื่อมต่อ TCP/IP กับ SMSC และส่งคำสั่ง “bind” พร้อมข้อมูลการรับรองความถูกต้อง
  2. การรับรองความถูกต้อง (Authentication) : SMSC ตรวจสอบข้อมูลการรับรองความถูกต้องและตอบกลับการเชื่อมต่อสำเร็จ
  3. การส่งข้อความ (Submit_SM) : ระบบของธุรกิจส่งคำสั่ง Submit_SM พร้อมข้อมูลข้อความและหมายเลขผู้รับ
  4. การยืนยันการรับ (Acknowledgment) : SMSC ตอบกลับยืนยันการรับข้อความและให้ ID ของข้อความ
  5. การรายงานสถานะ (Delivery Receipt) : SMSC ส่งรายงานสถานะการส่งข้อความกลับมายังระบบของธุรกิจ
  6. การตัดการเชื่อมต่อ (Unbind) : เมื่อเสร็จสิ้น ระบบของธุรกิจสามารถส่งคำสั่ง “unbind” เพื่อตัดการเชื่อมต่อ

ข้อดีของการใช้ SMPP สำหรับส่ง SMS

การใช้ SMS SMPP สำหรับการส่ง SMS มีข้อดีหลายอย่าง เช่น

  • ความเร็วสูง : การส่ง SMS ผ่าน SMPP มีความเร็วสูงกว่า Gateway เนื่องจากเป็นการเชื่อมต่อโดยตรงกับ SMSC
  • ความน่าเชื่อถือสูง : เหมาะสำหรับการส่งข้อความที่มีความสำคัญสูง เช่น OTP หรือการแจ้งเตือนธุรกรรม
  • ปริมาณสูง : รองรับการส่ง SMS จำนวนมากในเวลาเดียวกัน (throughput สูง)
  • ราคาต่อข้อความต่ำกว่า : สำหรับการส่งปริมาณมาก มักมีต้นทุนต่อข้อความที่ต่ำกว่า SMS Gateway

SMPP เหมาะกับการใช้งานแบบไหน

SMS SMPP เหมาะกับธุรกิจที่มีลักษณะ ดังนี้

  • ธุรกิจที่ต้องการส่งข้อความจำนวนมาก : เช่น ธนาคาร บริษัทประกัน หรือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่
  • ธุรกิจที่ต้องการความเร็วและความน่าเชื่อถือสูง : เช่น การส่ง OTP สำหรับการยืนยันตัวตน หรือการแจ้งเตือนธุรกรรมทางการเงิน
  • ธุรกิจที่ต้องการความยืดหยุ่นในการปรับแต่ง : เช่น การกำหนดช่องทางการส่ง การจัดลำดับความสำคัญ หรือการกำหนดรูปแบบข้อความพิเศษ
  • ธุรกิจที่มีทีมไอทีที่มีความรู้ทางเทคนิค : เนื่องจากการตั้งค่าและบำรุงรักษาการเชื่อมต่อ SMPP ต้องการความรู้ทางเทคนิคมากกว่า SMS Gateway

เปรียบเทียบความต่างของ SMS SMPP กับ SMS Gateway

เมื่อเลือกระหว่าง SMS SMPP กับ SMS Gateway ธุรกิจควรพิจารณาปัจจัยหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และค่าใช้จ่าย มาดูการเปรียบเทียบในแต่ละด้าน

ด้านประสิทธิภาพและความเร็ว

SMS SMPP

  • ความเร็วในการส่งสูงกว่า เนื่องจากเชื่อมต่อโดยตรงกับ SMSC
  • รองรับปริมาณการส่งสูง สามารถส่งได้หลายร้อยหรือหลายพันข้อความต่อวินาที
  • มีอัตราการส่งสำเร็จสูงกว่า โดยเฉพาะในช่วงที่มีการใช้งานสูง
  • เหมาะสำหรับการส่งข้อความที่มีความเร่งด่วน เช่น OTP ที่ต้องถึงผู้รับภายในไม่กี่วินาที

SMS Gateway

  • อาจมีความล่าช้าในการส่งมากกว่า เนื่องจากมีการประมวลผลเพิ่มเติมและอาจผ่านหลายระบบ
  • มีข้อจำกัดในการรองรับปริมาณการส่งสูงในเวลาเดียวกัน
  • อาจมีการจัดคิวข้อความในช่วงที่มีการใช้งานสูง ทำให้การส่งล่าช้า
  • เหมาะสำหรับการส่งข้อความทั่วไปที่ไม่เร่งด่วนมาก เช่น ข่าวสาร โปรโมชัน

ด้านความปลอดภัย

SMS SMPP

  • มีการรับรองความถูกต้องที่เข้มงวดกว่า มักใช้การเข้ารหัสและการยืนยันตัวตนที่แข็งแกร่ง
  • การเชื่อมต่อแบบถาวรช่วยลดความเสี่ยงจากการโจมตีแบบ session hijacking
  • สามารถกำหนดค่าการเข้ารหัสและนโยบายความปลอดภัยได้มากกว่า
  • เหมาะสำหรับการส่งข้อความที่มีความอ่อนไหวด้านความปลอดภัย

SMS Gateway

  • อาจมีการรับรองความถูกต้องที่ง่ายกว่า เช่น การใช้ API key หรือรหัสผ่านธรรมดา
  • ความปลอดภัยขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการ Gateway แต่ละราย
  • อาจมีความเสี่ยงเพิ่มเติมเนื่องจากข้อมูลผ่านตัวกลางมากกว่า
  • ด้านต้นทุนและการลงทุน

SMS SMPP

  • ต้นทุนเริ่มต้นสูงกว่า เนื่องจากต้องการการพัฒนาและการตั้งค่าทางเทคนิค
  • ต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคในการตั้งค่าและบำรุงรักษา
  • ค่าใช้จ่ายต่อข้อความต่ำกว่าสำหรับปริมาณการส่งสูง ทำให้คุ้มค่าในระยะยาว
  • อาจมีค่าใช้จ่ายคงที่สำหรับการเชื่อมต่อ SMPP

SMS Gateway

  • ต้นทุนเริ่มต้นต่ำกว่า สามารถเริ่มใช้งานได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องลงทุนด้านเทคนิคมาก
  • ไม่จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง สามารถใช้งานได้ง่ายผ่านอินเทอร์เฟซที่มีให้
  • ค่าใช้จ่ายต่อข้อความสูงกว่า แต่มักไม่มีค่าใช้จ่ายคงที่
  • เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีปริมาณการส่งไม่สูงมาก

จากการเปรียบเทียบข้างต้น จะเห็นได้ว่าการเลือกระหว่าง SMS SMPP กับ SMS Gateway ขึ้นอยู่กับความต้องการเฉพาะของธุรกิจ หากธุรกิจต้องการส่ง SMS ในปริมาณสูง ต้องการความเร็วและความน่าเชื่อถือสูง และมีทีมเทคนิคที่พร้อม การใช้ SMS SMPP จะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า แต่หากธุรกิจต้องการเริ่มต้นอย่างรวดเร็ว มีงบประมาณจำกัด และมีปริมาณการส่งไม่มาก การใช้ SMS Gateway ก็เป็นทางเลือกที่ดี 

และหากคุณกำลังมองหาบริการส่ง SMS แบบครบวงจร deeSMSX พร้อมช่วยเหลือธุรกิจคุณได้อย่างตอบโจทย์ ในราคาเริ่มต้นที่ 0.15 บาท / ข้อความ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 02-095-5168 Line @deecom หรือ เฟซบุ๊ก deeSMSX

MMS คืออะไร ทำไมถึงเพิ่มยอดขายได้จริงแต่คนมองข้าม

MMS คืออะไร ทำไมถึงเพิ่มยอดขายได้จริงแต่คนมองข้าม

การตลาดดิจิทัลในปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบ แต่มีช่องทางหนึ่งที่ทรงพลังแต่ธุรกิจจำนวนมากกลับมองข้าม นั่นคือ MMS Marketing ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารกับลูกค้า และสามารถนำไปสู่การเพิ่มยอดขายได้อย่างเห็นผล แต่หลายคนอาจสงสัยว่าต่างจาก SMS อย่างไร deeSMSX จะมาอธิบายให้ได้เข้าใจกัน 

ข้อความ MMS คืออะไร ทำไมถึงช่วยเพิ่มยอดขายได้จริง

ข้อความ MMS คืออะไร ทำไมถึงช่วยเพิ่มยอดขายได้จริง

MMS Marketing คือ รูปแบบการสื่อสารที่เหนือกว่าข้อความธรรมดา ด้วยความสามารถในการส่งข้อความที่มาพร้อมกับสื่อมัลติมีเดีย ทำให้แบรนด์สามารถสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การนำเสนอข้อมูลผ่านภาพและเสียงช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้ดีกว่าข้อความธรรมดา

MMS ย่อมาจากอะไร และมีบทบาทอย่างไรในโลกการตลาด

MMS ย่อมาจาก Multimedia Messaging Service คือบริการส่งข้อความแบบมัลติมีเดียที่สามารถส่งได้ทั้งรูปภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว และวิดีโอ ไปพร้อมกับข้อความ ในแวดวงการตลาด MMS ช่วยให้แบรนด์สามารถสื่อสารได้มากกว่าตัวอักษร ทำให้สามารถนำเสนอสินค้าหรือบริการได้อย่างมีมิติ ครบถ้วน และน่าสนใจ

ข้อมูลจากการวิจัยพบว่า MMS มีอัตราการเปิดอ่านสูงถึง 98% ภายในไม่กี่นาทีหลังจากที่ส่งไป ซึ่งสูงกว่าอีเมลหรือแม้แต่โซเชียลมีเดีย ทำให้ MMS ย่อมาจาก Multimedia Messaging Service กลายเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย

ความต่างของ MMS และ SMS เลือกแบบไหนถึงเจาะกลุ่มได้ดี

ถึงแม้ว่า MMS และ SMS จะเป็นการทำการตลาดในรูปแบบข้อความเหมือนกัน แต่มีความแตกต่างกันที่สำคัญ ดังนี้

  • SMS (Short Message Service) ส่งได้เฉพาะข้อความตัวอักษร จำกัดที่ 160 ตัวอักษรต่อข้อความ และอาจแนบลิงก์ได้
  • MMS (Multimedia Messaging Service) สามารถส่งได้ทั้งข้อความ รูปภาพ เสียง และวิดีโอ ทำให้การนำเสนอข้อมูลมีความน่าสนใจมากกว่า

การเลือกระหว่าง MMS และ SMS ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และกลุ่มเป้าหมาย หากต้องการเจาะกลุ่มที่ต้องการเห็นภาพประกอบหรือต้องการนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อน MMS จะมีประสิทธิภาพมากกว่า แต่หากต้องการส่งข้อความอย่างรวดเร็วและตรงประเด็น SMS อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

จุดแข็งของ MMS ที่ช่วยให้แบรนด์เพิ่ม Conversion ได้มากขึ้น

ข้อความ MMS มีจุดแข็งหลายอย่างที่ช่วยเพิ่ม Conversion Rate ให้แบรนด์ เช่น

  • ดึงดูดความสนใจได้มากกว่า : การใช้รูปภาพและวิดีโอช่วยให้ข้อความโดดเด่นและจดจำได้ง่าย
  • นำเสนอรายละเอียดได้มากขึ้น : สามารถแสดงสินค้าหรือบริการได้ละเอียดกว่าการส่งข้อความธรรมดา
  • สร้างความน่าเชื่อถือ : การส่งเนื้อหาคุณภาพสูงช่วยเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์
  • เพิ่มอัตราการตอบสนอง : ข้อความที่มีองค์ประกอบหลากหลายมีแนวโน้มที่จะได้รับการตอบสนองมากกว่า

ตัวอย่างความสำเร็จในการใช้ MMS คือแคมเปญของแบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำแห่งหนึ่งที่ใช้การส่ง MMS เพื่อโปรโมทคอลเลกชันใหม่ โดยส่งภาพก่อน-หลังการใช้ผลิตภัณฑ์ พร้อมวิดีโอสั้น ๆ สาธิตวิธีการใช้ ทำให้ยอดขายในช่วงเปิดตัวเพิ่มขึ้นถึง 35% เมื่อเทียบกับการเปิดตัวคอลเลกชันก่อนหน้าที่ใช้เพียงการส่ง SMS ธรรมดา

กลยุทธ์การทำ MMS Marketing เพื่อเพิ่มยอดขายอย่างยั่งยืน

กลยุทธ์การทำ MMS Marketing เพื่อเพิ่มยอดขายอย่างยั่งยืน

การวางแผนกลยุทธ์ MMS Marketing ที่มีประสิทธิภาพต้องคำนึงถึงการสร้างคอนเทนต์ที่น่าสนใจ การเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม และการส่งข้อความในจังหวะเวลาที่ถูกต้อง การติดตามผลอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ปรับกลยุทธ์ได้อย่างทันท่วงที เพื่อการเติบโตของยอดขายที่ยั่งยืน

การสร้างคอนเทนต์ MMS ที่ดึงดูดให้คนซื้อ

การสร้างคอนเทนต์ MMS ที่มีประสิทธิภาพต้องคำนึงถึงองค์ประกอบสำคัญต่าง ๆ ดังนี้

  • รูปภาพ : ใช้ภาพคุณภาพสูงที่แสดงให้เห็นสินค้าหรือบริการอย่างชัดเจน ภาพควรมีความคมชัด สีสันสดใส และสื่อถึงคุณค่าของสินค้า
  • วิดีโอ : สร้างวิดีโอสั้น ๆ ที่นำเสนอวิธีการใช้งาน ประโยชน์ หรือเรื่องราวของสินค้า วิดีโอสาธิตสินค้าจะช่วยให้ลูกค้าเห็นภาพการใช้งานจริงและเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อ
  • เสียง : ในบางกรณี การแนบเสียงที่เป็นเอกลักษณ์หรือเสียงโฆษณาที่น่าจดจำจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับข้อความ
  • ข้อความชวนกระตุ้น (Call-to-Action) : เพิ่ม CTA ที่ชัดเจนเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าดำเนินการต่อ เช่น “กดสั่งซื้อตอนนี้” “โทรเพื่อรับส่วนลด” หรือ “คลิกเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม”

รู้จักกลุ่มเป้าหมายและการส่งข้อความที่ “ตรงจุด”

การรู้จักกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซึ้งเป็นกุญแจสำคัญในการทำ MMS Marketing ให้ประสบความสำเร็จ การแบ่งกลุ่มลูกค้า (Customer Segmentation) ช่วยให้สามารถส่งข้อความที่ตรงกับความต้องการและความสนใจของแต่ละกลุ่มได้อย่างแม่นยำ ดังนี้

  • การแบ่งตามข้อมูลประชากร : แยกกลุ่มตามอายุ เพศ รายได้ หรือที่อยู่อาศัย เพื่อปรับเนื้อหาให้ตรงกับไลฟ์สไตล์และความต้องการของแต่ละกลุ่ม
  • การแบ่งตามพฤติกรรม : วิเคราะห์ประวัติการซื้อ ความถี่ในการซื้อ หรือสินค้าที่สนใจ เพื่อส่งข้อเสนอที่เหมาะสม
  • การแบ่งตามความภักดี : แยกลูกค้าตามระดับความภักดีต่อแบรนด์ เพื่อสร้างข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าที่มีความภักดีสูง

จังหวะเวลาในการส่ง MMS ที่ช่วยเร่งยอดขาย

การเลือกจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการส่ง MMS มีผลต่อประสิทธิภาพของแคมเปญและยอดขายอย่างมาก การส่งข้อความในช่วงเวลาที่ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะเปิดอ่าน และตอบสนองมากที่สุดจะช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย

  • วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า : ศึกษาว่าลูกค้ามักเปิดอ่านข้อความในช่วงเวลาใด วันไหนของสัปดาห์ที่มีอัตราการตอบสนองสูงที่สุด
  • เลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม : หลีกเลี่ยงการส่งข้อความในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม เช่น ดึกเกินไป หรือช่วงที่ลูกค้ากำลังยุ่ง โดยทั่วไป ช่วงเวลา 10.00-12.00 น. และ 17.00-20.00 น. มักเป็นช่วงที่มีอัตราการเปิดอ่านสูง
  • ใช้กลยุทธ์การส่งตามเหตุการณ์ : ส่ง MMS ในโอกาสพิเศษ เช่น วันเกิด วันครบรอบ หรือเทศกาลต่างๆ เพื่อสร้างความรู้สึกว่าแบรนด์ให้ความสำคัญกับลูกค้า
  • ส่งตามขั้นตอนการซื้อ : ตั้งเวลาส่ง MMS ตามขั้นตอนการซื้อสินค้า เช่น หลังจากลูกค้าดูสินค้าแต่ไม่ได้ซื้อ ซึ่งอาจช่วยกระตุ้นให้กลับมาซื้อได้

จะเห็นได้ว่า MMS คือสิ่งที่ตอบโจทย์การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีไม่แพ้ SMS โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องใช้รูปลักษณ์สินค้าในการดึงดูด และสำหรับใครที่กำลังมองหาบริการส่ง MMS หรือ SMS แบบครบวงจร deeSMSX คือผู้ให้บริการส่งข้อความ SMS ที่ถูกที่สุดในไทย ในราคาเริ่มต้นที่ 0.15 บาท / ข้อความ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 02-095-5168 Line @deecom หรือ เฟซบุ๊ก deeSMSX

แชร์ 8 วิธีขายของออนไลน์ให้ยอดพุ่งที่มือใหม่ต้องรู้

แชร์ 8 วิธีขายของออนไลน์ให้ยอดพุ่งที่มือใหม่ต้องรู้

การขายของออนไลน์เป็นช่องทางที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากเริ่มต้นง่าย ใช้ทุนต่ำ และสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างกว้างขวาง แต่การจะประสบความสำเร็จนั้นจำเป็นต้องมีกลยุทธ์และวิธีการที่เหมาะสม ใครที่อยากจะเริ่มต้นขายของออนไลน์ แต่ยังไม่รู้ว่ามีวิธีขายของออนไลน์ดี ๆ อะไรบ้างที่ควรปรับใช้ deeSMSX มีเคล็ดลับดี ๆ มาฝากทุกคนที่อยากเริ่มต้นกัน 

8 วิธีขายของออนไลน์สำหรับมือใหม่ ทำอย่างไรให้ยอดปัง

8 วิธีขายของออนไลน์สำหรับมือใหม่ ทำอย่างไรให้ยอดปัง

ในโลกของการค้าออนไลน์ที่มีการแข่งขันสูง การเริ่มต้นขายของออนไลน์จำเป็นต้องมีแผนการที่ชัดเจนและวิธีการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถแข่งขันและสร้างรายได้ได้อย่างยั่งยืน ต่อไปนี้คือ 8 วิธีขายของออนไลน์ที่จะช่วยให้มือใหม่สามารถเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์และทำให้ยอดขายพุ่งสูงได้

1. สร้างเอกลักษณ์แบรนด์ให้แตกต่าง

การสร้างเอกลักษณ์ให้กับร้านค้าออนไลน์เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ลูกค้าจดจำและกลับมาซื้อซ้ำ เริ่มจากการตั้งชื่อร้านที่จดจำง่าย ออกแบบโลโก้ที่มีความโดดเด่น และกำหนดธีมสีหรือรูปแบบการนำเสนอที่เป็นเอกลักษณ์ของร้าน นอกจากนี้ควรพิจารณาว่าอะไรที่จะทำให้ร้านของคุณโดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่ง อาจเป็นคุณภาพของสินค้า บริการพิเศษ หรือเรื่องราวเบื้องหลังแบรนด์ที่น่าสนใจ การมีเอกลักษณ์ชัดเจนจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจจากลูกค้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มยอดขายในระยะยาว

2. การสร้างคอนเทนต์ที่ดึงดูดและมีคุณค่า

คอนเทนต์ที่มีคุณภาพเป็นเครื่องมือสำคัญในการดึงดูดลูกค้าและสร้างการมีส่วนร่วม ควรสร้างคอนเทนต์ที่ไม่เพียงแค่นำเสนอสินค้า แต่ยังให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ลูกค้าด้วย เช่น บทความที่ให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์ วิดีโอสาธิตการใช้งาน หรือเคล็ดลับที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของคุณ การใช้ภาพถ่ายที่มีคุณภาพสูงและคำอธิบายสินค้าที่ชัดเจนจะช่วยให้ลูกค้าเข้าใจสินค้าได้ดียิ่งขึ้น การอัปเดตคอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มโอกาสในการมองเห็นจากกลุ่มเป้าหมายและรักษาความสนใจของลูกค้าปัจจุบัน

3. ใช้โปรโมชั่นและข้อเสนอพิเศษกระตุ้นการตัดสินใจ

โปรโมชั่นและข้อเสนอพิเศษเป็นวิธีการกระตุ้นยอดขายที่มีวิธีขายของออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นธุรกิจที่ต้องการให้คนรู้จักร้านมากขึ้น การจัดโปรโมชั่นที่น่าสนใจ เช่น ส่วนลดสำหรับลูกค้าใหม่ โปรโมชั่นซื้อ 1 แถม 1 หรือการจัดส่งฟรีเมื่อซื้อครบตามกำหนด จะช่วยดึงดูดให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ การจัดทำโปรแกรมสะสมแต้มหรือให้ส่วนลดสำหรับการซื้อซ้ำจะช่วยรักษาฐานลูกค้าและสร้างความจงรักภักดีต่อแบรนด์ ควรวางแผนโปรโมชั่นให้สอดคล้องกับเทศกาลหรือช่วงเวลาสำคัญเพื่อเพิ่มโอกาสในการขาย

4. ใช้ SMS Marketing ในการกระตุ้นยอดขาย

4. ใช้ SMS Marketing ในการกระตุ้นยอดขาย

การใช้ SMS Marketing เป็นอีกหนึ่งวิธีขายของออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงลูกค้าโดยตรง ข้อความสั้นมีอัตราการเปิดอ่านสูงถึง 98% ภายใน 3 นาทีแรกที่ได้รับ ทำให้เป็นช่องทางที่เหมาะสำหรับการแจ้งข้อมูลโปรโมชั่น สินค้าใหม่ หรือข้อเสนอพิเศษเฉพาะบุคคล การส่ง SMS ที่ได้รับการปรับแต่งให้เหมาะกับความสนใจของลูกค้าแต่ละราย จะช่วยเพิ่มโอกาสในการตอบสนองและนำไปสู่การซื้อ ควรวางแผนการส่ง SMS ให้เหมาะสมทั้งในแง่ของความถี่และเวลาที่ส่ง เพื่อไม่ให้ลูกค้ารู้สึกว่าถูกรบกวนมากเกินไป

5. ให้บริการด้วยความจริงใจและรวดเร็ว

การบริการลูกค้าที่ดีเป็นหัวใจสำคัญของการทำวิธีขายของออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จ ต้องให้ความสำคัญกับการตอบคำถามและแก้ไขปัญหาของลูกค้าอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ การตอบแชทหรืออีเมลอย่างทันท่วงทีแสดงถึงความใส่ใจและความเอาใจใส่ต่อลูกค้า ควรฝึกอบรมทีมงานให้มีความรู้เกี่ยวกับสินค้าอย่างละเอียดและมีทักษะในการสื่อสารที่ดี การรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากลูกค้าเพื่อนำมาปรับปรุงบริการจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและความไว้วางใจในระยะยาว ประสบการณ์ที่ดีของลูกค้าจะนำไปสู่การบอกต่อและการกลับมาซื้อซ้ำ

6. ทำการตลาดผ่านหลายแพลตฟอร์มเพื่อเพิ่มการมองเห็น

การใช้หลายแพลตฟอร์มในการทำการตลาดเป็นกลยุทธ์ที่มีวิธีขายของออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในปัจจุบันมีช่องทางออนไลน์มากมายที่สามารถใช้ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย เช่น Facebook, Instagram, Tiktok หรือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Shopee และ Lazada การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายจะช่วยให้คุณเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมที่สุด แต่ละแพลตฟอร์มมีจุดเด่นและข้อจำกัดต่างกัน การวางแผนการตลาดที่ผสมผสานระหว่างแพลตฟอร์มจะช่วยเพิ่มการมองเห็นและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายมากขึ้น

7. ใช้รีวิวจากลูกค้าเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ

รีวิวจากลูกค้าเป็นเครื่องมือทรงพลังในการสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจให้กับวิธีขายของออนไลน์ ผู้บริโภคมักจะค้นหาและอ่านรีวิวก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า โดยเฉพาะกับร้านค้าที่ไม่เคยซื้อมาก่อน ควรส่งเสริมให้ลูกค้าที่พึงพอใจแสดงความคิดเห็นและให้คะแนนสินค้า อาจมีการเสนอส่วนลดหรือของรางวัลเล็กๆ น้อยๆ เพื่อกระตุ้นการรีวิว การแสดงรีวิวเชิงบวกบนเว็บไซต์หรือหน้าร้านในโซเชียลมีเดียจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าใหม่ นอกจากนี้ ควรใช้ข้อเสนอแนะจากรีวิวเชิงลบเพื่อปรับปรุงสินค้าและบริการให้ดียิ่งขึ้น

8. ติดตามผลและปรับปรุงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง

ความสำเร็จในการขายของออนไลน์ไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน แต่ต้องอาศัยการติดตามผลและปรับปรุงวิธีขายของออนไลน์อย่างต่อเนื่อง ควรใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อติดตามประสิทธิภาพของการตลาดและยอดขาย เช่น จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ อัตราการคลิก อัตราการแปลงเป็นลูกค้า และรายได้เฉลี่ยต่อคำสั่งซื้อ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าและพบจุดที่ต้องปรับปรุง ควรทดลองกลยุทธ์การตลาดและโปรโมชั่นใหม่ๆ เพื่อค้นหาวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ การเรียนรู้และปรับตัวตามแนวโน้มตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงจะช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนและทั้งหมดนี้ ก็เป็นวิธีขายของออนไลน์ที่ดี และเหมาะสำหรับคนที่อยากเริ่มต้นขายของออนไลน์ สำหรับใครที่กำลังมองหาผู้ช่วยทางการตลาดอย่าง SMS Marketing เพื่อใช่ส่งข่าวสาร แจ้งโปรโมชัน หรืออัปเดตสินค้าใหม่ deeSMSX คือผู้ให้บริการส่ง SMS ที่ถูกที่สุดในไทย ในค่าบริการเริ่มต้นที่ 0.15 บาท / ข้อความ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 02-095-5168 Line @deecom หรือ เฟซบุ๊ก deeSMSX