การตลาดดิจิทัลในปัจจุบันมีหลากหลายรูปแบบ แต่มีช่องทางหนึ่งที่ทรงพลังแต่ธุรกิจจำนวนมากกลับมองข้าม นั่นคือ MMS Marketing ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสื่อสารกับลูกค้า และสามารถนำไปสู่การเพิ่มยอดขายได้อย่างเห็นผล แต่หลายคนอาจสงสัยว่าต่างจาก SMS อย่างไร deeSMSX จะมาอธิบายให้ได้เข้าใจกัน
ข้อความ MMS คืออะไร ทำไมถึงช่วยเพิ่มยอดขายได้จริง

MMS Marketing คือ รูปแบบการสื่อสารที่เหนือกว่าข้อความธรรมดา ด้วยความสามารถในการส่งข้อความที่มาพร้อมกับสื่อมัลติมีเดีย ทำให้แบรนด์สามารถสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การนำเสนอข้อมูลผ่านภาพและเสียงช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้ดีกว่าข้อความธรรมดา
MMS ย่อมาจากอะไร และมีบทบาทอย่างไรในโลกการตลาด
MMS ย่อมาจาก Multimedia Messaging Service คือบริการส่งข้อความแบบมัลติมีเดียที่สามารถส่งได้ทั้งรูปภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว และวิดีโอ ไปพร้อมกับข้อความ ในแวดวงการตลาด MMS ช่วยให้แบรนด์สามารถสื่อสารได้มากกว่าตัวอักษร ทำให้สามารถนำเสนอสินค้าหรือบริการได้อย่างมีมิติ ครบถ้วน และน่าสนใจ
ข้อมูลจากการวิจัยพบว่า MMS มีอัตราการเปิดอ่านสูงถึง 98% ภายในไม่กี่นาทีหลังจากที่ส่งไป ซึ่งสูงกว่าอีเมลหรือแม้แต่โซเชียลมีเดีย ทำให้ MMS ย่อมาจาก Multimedia Messaging Service กลายเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
ความต่างของ MMS และ SMS เลือกแบบไหนถึงเจาะกลุ่มได้ดี
ถึงแม้ว่า MMS และ SMS จะเป็นการทำการตลาดในรูปแบบข้อความเหมือนกัน แต่มีความแตกต่างกันที่สำคัญ ดังนี้
- SMS (Short Message Service) ส่งได้เฉพาะข้อความตัวอักษร จำกัดที่ 160 ตัวอักษรต่อข้อความ และอาจแนบลิงก์ได้
- MMS (Multimedia Messaging Service) สามารถส่งได้ทั้งข้อความ รูปภาพ เสียง และวิดีโอ ทำให้การนำเสนอข้อมูลมีความน่าสนใจมากกว่า
การเลือกระหว่าง MMS และ SMS ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และกลุ่มเป้าหมาย หากต้องการเจาะกลุ่มที่ต้องการเห็นภาพประกอบหรือต้องการนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อน MMS จะมีประสิทธิภาพมากกว่า แต่หากต้องการส่งข้อความอย่างรวดเร็วและตรงประเด็น SMS อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
จุดแข็งของ MMS ที่ช่วยให้แบรนด์เพิ่ม Conversion ได้มากขึ้น
ข้อความ MMS มีจุดแข็งหลายอย่างที่ช่วยเพิ่ม Conversion Rate ให้แบรนด์ เช่น
- ดึงดูดความสนใจได้มากกว่า : การใช้รูปภาพและวิดีโอช่วยให้ข้อความโดดเด่นและจดจำได้ง่าย
- นำเสนอรายละเอียดได้มากขึ้น : สามารถแสดงสินค้าหรือบริการได้ละเอียดกว่าการส่งข้อความธรรมดา
- สร้างความน่าเชื่อถือ : การส่งเนื้อหาคุณภาพสูงช่วยเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์
- เพิ่มอัตราการตอบสนอง : ข้อความที่มีองค์ประกอบหลากหลายมีแนวโน้มที่จะได้รับการตอบสนองมากกว่า
ตัวอย่างความสำเร็จในการใช้ MMS คือแคมเปญของแบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำแห่งหนึ่งที่ใช้การส่ง MMS เพื่อโปรโมทคอลเลกชันใหม่ โดยส่งภาพก่อน-หลังการใช้ผลิตภัณฑ์ พร้อมวิดีโอสั้น ๆ สาธิตวิธีการใช้ ทำให้ยอดขายในช่วงเปิดตัวเพิ่มขึ้นถึง 35% เมื่อเทียบกับการเปิดตัวคอลเลกชันก่อนหน้าที่ใช้เพียงการส่ง SMS ธรรมดา
กลยุทธ์การทำ MMS Marketing เพื่อเพิ่มยอดขายอย่างยั่งยืน

การวางแผนกลยุทธ์ MMS Marketing ที่มีประสิทธิภาพต้องคำนึงถึงการสร้างคอนเทนต์ที่น่าสนใจ การเลือกกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม และการส่งข้อความในจังหวะเวลาที่ถูกต้อง การติดตามผลอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ปรับกลยุทธ์ได้อย่างทันท่วงที เพื่อการเติบโตของยอดขายที่ยั่งยืน
การสร้างคอนเทนต์ MMS ที่ดึงดูดให้คนซื้อ
การสร้างคอนเทนต์ MMS ที่มีประสิทธิภาพต้องคำนึงถึงองค์ประกอบสำคัญต่าง ๆ ดังนี้
- รูปภาพ : ใช้ภาพคุณภาพสูงที่แสดงให้เห็นสินค้าหรือบริการอย่างชัดเจน ภาพควรมีความคมชัด สีสันสดใส และสื่อถึงคุณค่าของสินค้า
- วิดีโอ : สร้างวิดีโอสั้น ๆ ที่นำเสนอวิธีการใช้งาน ประโยชน์ หรือเรื่องราวของสินค้า วิดีโอสาธิตสินค้าจะช่วยให้ลูกค้าเห็นภาพการใช้งานจริงและเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจซื้อ
- เสียง : ในบางกรณี การแนบเสียงที่เป็นเอกลักษณ์หรือเสียงโฆษณาที่น่าจดจำจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับข้อความ
- ข้อความชวนกระตุ้น (Call-to-Action) : เพิ่ม CTA ที่ชัดเจนเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าดำเนินการต่อ เช่น “กดสั่งซื้อตอนนี้” “โทรเพื่อรับส่วนลด” หรือ “คลิกเพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม”
รู้จักกลุ่มเป้าหมายและการส่งข้อความที่ “ตรงจุด”
การรู้จักกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซึ้งเป็นกุญแจสำคัญในการทำ MMS Marketing ให้ประสบความสำเร็จ การแบ่งกลุ่มลูกค้า (Customer Segmentation) ช่วยให้สามารถส่งข้อความที่ตรงกับความต้องการและความสนใจของแต่ละกลุ่มได้อย่างแม่นยำ ดังนี้
- การแบ่งตามข้อมูลประชากร : แยกกลุ่มตามอายุ เพศ รายได้ หรือที่อยู่อาศัย เพื่อปรับเนื้อหาให้ตรงกับไลฟ์สไตล์และความต้องการของแต่ละกลุ่ม
- การแบ่งตามพฤติกรรม : วิเคราะห์ประวัติการซื้อ ความถี่ในการซื้อ หรือสินค้าที่สนใจ เพื่อส่งข้อเสนอที่เหมาะสม
- การแบ่งตามความภักดี : แยกลูกค้าตามระดับความภักดีต่อแบรนด์ เพื่อสร้างข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าที่มีความภักดีสูง
จังหวะเวลาในการส่ง MMS ที่ช่วยเร่งยอดขาย
การเลือกจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการส่ง MMS มีผลต่อประสิทธิภาพของแคมเปญและยอดขายอย่างมาก การส่งข้อความในช่วงเวลาที่ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะเปิดอ่าน และตอบสนองมากที่สุดจะช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย
- วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า : ศึกษาว่าลูกค้ามักเปิดอ่านข้อความในช่วงเวลาใด วันไหนของสัปดาห์ที่มีอัตราการตอบสนองสูงที่สุด
- เลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม : หลีกเลี่ยงการส่งข้อความในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม เช่น ดึกเกินไป หรือช่วงที่ลูกค้ากำลังยุ่ง โดยทั่วไป ช่วงเวลา 10.00-12.00 น. และ 17.00-20.00 น. มักเป็นช่วงที่มีอัตราการเปิดอ่านสูง
- ใช้กลยุทธ์การส่งตามเหตุการณ์ : ส่ง MMS ในโอกาสพิเศษ เช่น วันเกิด วันครบรอบ หรือเทศกาลต่างๆ เพื่อสร้างความรู้สึกว่าแบรนด์ให้ความสำคัญกับลูกค้า
- ส่งตามขั้นตอนการซื้อ : ตั้งเวลาส่ง MMS ตามขั้นตอนการซื้อสินค้า เช่น หลังจากลูกค้าดูสินค้าแต่ไม่ได้ซื้อ ซึ่งอาจช่วยกระตุ้นให้กลับมาซื้อได้
จะเห็นได้ว่า MMS คือสิ่งที่ตอบโจทย์การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีไม่แพ้ SMS โดยเฉพาะธุรกิจที่ต้องใช้รูปลักษณ์สินค้าในการดึงดูด และสำหรับใครที่กำลังมองหาบริการส่ง MMS หรือ SMS แบบครบวงจร deeSMSX คือผู้ให้บริการส่งข้อความ SMS ที่ถูกที่สุดในไทย ในราคาเริ่มต้นที่ 0.15 บาท / ข้อความ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 02-095-5168 Line @deecom หรือ เฟซบุ๊ก deeSMSX